การไม่ละสังขารของพระ

 
fouron
วันที่  14 ม.ค. 2557
หมายเลข  24327
อ่าน  2,280

การที่พระสงฆ์ได้มรณภาพไปแล้ว แต่ สังขารของท่านนั้นเผาไม่ไหม้ และไม่เน่าเปื่อย เป็นเพราะเหตุใด และอานิสงส์แห่งการปฏิบัติอย่างไร ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปกติร่างกายจะมีเชื้อแบคทีเรีย และเชื้ออื่นๆ โดยเฉพาะในลำไส้ เมื่อเสียชีวิต เชื้อแบคทีเรียและน้ำย่อยภายในร่างกาย จะทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลาย เกิดการเน่าจากภายในและลามออกมาภายนอก ส่วนจะเน่าเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อโรคภายในร่างกาย และปัจจัยสิ่งแวดล้อม

ศพที่ไม่เน่า ด้วยหลายเหตุปัจจัยครับ เป็นไปได้ถ้าศพที่สิ้นชีวิตนั้น มีปริมาณไขมันในร่างกายต่ำ เช่น มีความระวังในการรับประทานอาหาร รับประทานแต่พอดีทำให้ไม่มีไขมัน หรือมีน้อย ทำให้ของเสียในร่างกายมีน้อย ประกอบกับสภาพความชื้น สิ่งแวดล้อม ทำให้สภาพเน่าเปื่อยได้ยากกว่าปกติ หรือไม่เน่าเปื่อยเลย เมื่อสิ้นชีวิตครับ

ซึ่งสรุปได้ว่า ที่ศพไม่เน่าเปื่อย เพราะเกิดขึ้นได้ด้วยองค์ประกอบ 2 อย่างเกิดพร้อมกัน คืออุณหภูมิ สิ่งแวดล้อมสูงกว่าปกติ และมีความชื้นน้อย ส่วนอวัยวะภายในก็ยังเน่าอยู่ เพียงแต่เมื่อชั้นผิวแข็ง ก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียและน้ำย่อยไม่สามารถทำลายออกมาถึงชั้นผิวหนังด้านนอกได้ และยังทำให้ศพไม่เกิดการบวมจากการเน่า หากในร่างกายไม่มีเชื้อโรคมากนัก การเน่าของอวัยวะภายในก็จะเกิดขึ้นน้อยครับ

หรือ ด้วยสารเคมีในปัจจุบัน ก็ทำให้ศพไม่เน่าเปื่อย ดังนั้น ศพที่ไม่เน่าเปื่อย ก็เพราะอุตุ เป็นปัจจัย เพราะศพก็คือ รูปธรรมที่ประชุมรวมกัน ปราศจากจิตที่ครองร่างกายนั้นแล้วครับ ก็เป็นตามเหตุปัจจัยของรูปธรรมนั้น จะเน่าหรือไม่เน่าก็ตามเหตุปัจจัยของรูปตามที่กล่าวมา ทำให้เน่าเปื่อย หรือ ไม่เน่าเปื่อย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยครับ เพราะเข้าใจว่าเป็นไปตามเหตุของอุตุ ความเย็น ความร้อน เป็นปัจจัยให้ ศพเน่าเปื่อย หรือ ไม่เน่าเปื่อยครับ

แต่ที่สำคัญ ไม่ได้หมายความว่า คุณธรรมจะวัดกันที่ ความไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิตนะครับ ผู้ที่คุณธรรมมาก จึงทำให้ร่ายกายไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิต อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะคุณธรรม มีปัญญา เป็นต้น เป็นคุณธรรมภายใน ที่รู้ได้ด้วยปัญญา ด้วยการสนทนา เป็นต้น ครับ

ศีลจะพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ต้องสังเกตนานๆ และผู้ที่รู้จักศีลเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าใครมีศีลตรงกับพระธรรมวินัย ปัญญาจะพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ถ้าไม่สนทนาสอบถาม ย่อมรู้ไม่ได้ว่าผู้นั้นมีปัญญาเข้าใจตรงตามพระธรรมวินัยหรือไม่ และคนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ดูเพียงภายนอกรู้ไม่ได้ ครับ

ปัญญา คุณธรรมต่างหาก เป็นตัวตัดสิน ว่าผู้ใดมีคุณธรรม หรือ ไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงลักษณะภายนอก หรือ การไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิต ที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ที่เห็นเพียง สี สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ได้เห็นถึงคุณธรรมภายในที่เห็นได้ด้วยปัญญา ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 14 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าหากไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา แล้วความเข้าใจ ตั้งแต่เบื้องต้น ยังไม่มี ย่อมไม่สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลย ดังนั้น จึงสำคัญที่ปัญญา ไม่ใช่อย่างอื่น เมื่อละจากโลกนี้ไป ร่างกายมีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ ในที่สุดก็จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพียงรูปธรรมที่เกิดเพราะอุตุเท่านั้น และตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อจุติจิตเกิดแล้วดับไปก็ย่อมเป็นปัจจัย ให้จิตขณะต่อไปคือปฏิสนธิจิต ในภพใหม่ เกิดสืบต่อทันที ยังต้องมีการเกิดอีก

สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ในขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะรู้ความจริงว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า การที่จะจากโลกนี้ไปนั้น จะจากไปด้วยปัญญาที่อบรมจนกระทั่งเจริญขึ้น หรือว่าจะจากไปโดยที่ว่าไม่สนใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย ถ้าหากไม่สนใจที่จะเข้าใจพระธรรม ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยความมัวเมา เพลิดเพลิน ในลาภ ยศ เป็นต้น ซึ่งก็เพียงชั่วขณะจิต จะไม่ติดตามไปถึงโลกหน้าได้เลย

ขณะนี้ทุกคนมีร่างกายซึ่งเป็นที่รักที่พอใจ อีกไม่นานร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วชาติหน้าจะมีรูปร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า การกระทำทางกาย ทางวาจา เป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลที่ครอบงำย่ำยีจิตใจหรือไม่ ที่จะทำให้ร่างกายในชาติต่อไป พิกลพิการ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่น่าดู หรือจนกระทั่งทำให้ถึงความเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็เป็นเรื่องของขณะจิตที่เร็วมาก เร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ก็สามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนี้ทั้งหมด จากการเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาทมัวเมา

แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมได้ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามระดับขั้นของความเข้าใจ ของตนเอง ดังนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง และจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาเห็นประโยชน์ พร้อมทั้งมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อละคลายขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 14 ม.ค. 2557

ในพระไตรปิฎกก็มีในสมัยพุทธกาล เช่น พระภิกษุท่านหนึ่งปรินิพพาน ศพไม่เน่า แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อยู่ที่ประพฤติตามธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
fouron
วันที่ 15 ม.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
mon-pat
วันที่ 17 ม.ค. 2557

ปัญญา คุณธรรมต่างหาก เป็นตัวตัดสิน ว่าผู้ใดมีคุณธรรม หรือ ไม่มีคุณธรรม ไม่ใช่เพียงลักษณะภายนอก หรือ การไม่เน่าเปื่อย เมื่อสิ้นชีวิต..

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 18 ม.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ