ปัจจุบันมีจะมีผู้ถึงปฐมฌานได้หรือไม่ครับ

 
WS202398
วันที่  7 ม.ค. 2557
หมายเลข  24298
อ่าน  1,570

ปัจจุบันมีจะมีผู้ถึงปฐมฌานได้หรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ฌาน คือ สภาพธรรมที่เพ่ง หรือ เผา ธรรมฝ่ายตรงกันข้าม ดังนั้นฌานจึงมีทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล ที่เป็นการเพ่งหรือเผา ธรรมที่เป็นข้าศึกคือกิเลสในขณะนั้นที่เป็นนิวรณ์ เป็นต้น โดยนัยตรงกันข้าม ฌานที่เป็นอกุศลก็มี ซึ่งขณะนั้นก็เผา กุศล คุณความดี เพราะเป็นอกุศลในขณะนั้นครับ ดังนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียด เมื่อไม่ศึกษาหรือฟังให้เข้าใจก็สำคัญสิ่งที่ทำ คิดว่าเป็นฌานแล้วจะต้องเป็นกุศล ซึ่งไม่เสมอไปหากเริ่มจากความเข้าใจผิดครับ

กรณีของฌาน ๘ และ ปฐมฌาน คือ การอบรมสมถภาวนาจนบรรลุฌานขั้นต่างๆ จนถึงสูงสุด คือ ฌานที่ ๘ สมถภาวนาเป็นเรื่องของปัญญา ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูก หากไม่มีปัญญาเห็นโทษของกิเลส แต่อยากสงบ และที่สำคัญไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นกุศลหรือ อกุศล ก็ไม่สามารถรู้ว่าขณะที่ทำเป็นกุศล หรือ อกุศล ก็ไม่สามารถเริ่มที่จะเป็นสมถภาวนาได้เลย เพราะแม้ชีวิตประจำวันในขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรือเปล่าขณะที่ทำ เพียงนิ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกุศลครับ ซึ่ง ฌาน ๘ พวกฤาษีดาบสที่มีปัญญา เช่น กาฬเทวิลดาบส อาฬารดาบส ท่านอบรมปัญญาจนได้ฌานที่ ๘ แต่ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะไม่มีปัญญาที่เข้าใจ หนทางดับกิเลส เพราะสมถภาวนา มีก่อนพุทธกาล และไม่ใช่หนทางดับกิเลส พระพุทธเจ้าทรงแสดงประโยชน์ของกุศล คือ เป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกๆ ประการ เพราะกุศลนำมาซึ่งสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์กับผู้เกิดกุศล แต่กุศลก็มีกุศลที่สามารถดับกิเลสได้ และไม่สามารถดับกิเลสได้ พระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธไม่ให้เจริญกุศล มีการเจริญฌานคือสมถภาวนา แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงที่พระองค์ ทรงตรัสรู้หนทางดับกิเลสว่า การอบรมสมถภาวนา ไม่ใช่หนทางดับกิเลส เป็นแต่เพียงธรรมเครื่องอยู่เท่านั้น คือเป็นเครื่องอยู่ให้สงบจากกิเลส แต่ไม่สามารถดับกิเลส และไม่ใช่หนทางดับกิเลสได้จริง

ดังนั้น การจะได้ปฐมฌาน ถ้าทำเหตุ มีปัญญาและอบรมหนทางที่ถูกต้อง ก็สามารถถึงปฐมฌานได้ ครับ

ฌานก็เปรียบเหมือน ก้อนหินทับหญ้า หญ้าก็ไม่งอกขึ้น แต่ไม่ตายตราบเท่าที่ก้อนหินทับอยู่ การเจริญสมถภาวนาที่ได้ฌานก็เช่นกัน สงบจากกิเลส ตราบเท่าที่อยู่ในฌาน แต่เชื้อของกิเลสไม่สามารถดับได้เพราะไม่ใช่หนทางดับกิเลสครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ซึ่งหนทางในการดับกิเลส คือ การระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เห็นถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ดังนั้นเป็นการเห็นลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่สมถภาวนาที่เป็นฌานในขณะนั้น เพ่งอารมณ์ ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาของสภาพธรรมครับ ดังนั้นการเจริญวิปัสสนาเท่านั้นที่เป็นสติปัฏฐาน เป็นหนทางในการดับกิเลสครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 7 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมถภาวนา เป็นการอบรมเจริญกุศลที่สามารถทำให้นิวรณ์ ซึ่งเป็นอกุศลธรรมทั้งปวงมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น นั้น สงบระงับ ซึ่งผู้อบรมนั้นจะต้องเป็นผู้มีปัญญาที่รู้ความต่างระหว่างอกุศล กับ กุศล เห็นโทษของอกุศลธรรมประการต่างๆ จึงจะเจริญได้ และในขณะนั้นก็จะต้องมีอารมณ์ของสมถภาวนา ที่จะทำให้จิตสงบจากอกุศลธรรม ซึ่งผู้เจริญจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย เมื่ออบรมเจริญกุศลประเภทนี้เพิ่มขึ้นๆ ก็จะเป็นเหตุให้อกุศลจิต ไม่สามารถเกิดแทรกคั่นได้ เมื่ออบรมเจริญความสงบเมื่อจิตสงบมั่นคงขึ้นแล้ว ก็จะสามารถบรรลุถึงอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นฌานจิตขั้นต่างๆ ที่เป็นรูปฌาน อรูปฌาน

แต่การบรรลุฌานจิตนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้ในสมัยพุทธกาลผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลโดยที่ไม่ได้ฌาน มีมากกว่าผู้ที่ได้ฌาน ซึ่งเห็นได้ว่าการเจริญสมถภาวนาทำให้จิตสงบได้ระงับอกุศลได้เพียงชั่วคราว แต่ละอนุสัยกิเลส อันเป็นพืชเชื้อของกิเลสไม่ได้เลย เมื่อใดฌานจิตไม่เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ก็เกิดอีกได้ ผู้ที่เจริญสมถภาวนา (โดยที่ไม่ได้อบรมเจริญวิปัสสนา) ไม่สามารถจะละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ และตราบใดที่ยังมีความเห็นผิดว่ามีตัวตนอยู่ ก็จะละกิเลสให้หมดสิ้นไปไม่ได้เลย ถึงแม้จะได้ฌานขั้นต่างๆ แต่ถ้าไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่สามารถที่รู้ฌานจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ตามความเป็นจริงได้เลย ซึ่งจะต่างจากผู้ที่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน

ดังนั้น การเจริญสมถภาวนา จนได้ถึงอรูปฌานของผู้ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานแม้ว่าจะเป็นสัมมาสมาธิ แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลส จึงเป็นมิจฉาปฏิปทา การอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือวิปัสสนาภาวนาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงไม่เกิดอีกเลย ซึ่งเป็นทางเดียวที่ทำให้สัตว์ดำเนินไปถึงซึ่งการพ้นจากทุกข์ได้จริง เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง เริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ทำให้ ผู้ที่อบรมเจริญสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น จนกระทั่งสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง

แทนที่จะคิดเรื่องอื่น ก็คิดเรื่องของธรรม ไตร่ตรองธรรมตามที่ได้ยินได้ฟัง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 7 ม.ค. 2557

สมัยนี้ยังมีผู้ทึ่ได้ฌานถ้าสะสมปัญญามา แต่ไม่มีพระอรหันต์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
WS202398
วันที่ 7 ม.ค. 2557

คือได้ยินว่า บางคนเชื่อว่า ปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์ ก็เลยสงสัยว่า ปัจจุบันสามารถมีผู้มีปัญญาที่อย่างน้อยถึงปฐมฌานหรือไม่ครับ มีพุทธทำนาย ตรงไหนหรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
bsomsuda
วันที่ 8 ม.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
WS202398
วันที่ 21 ม.ค. 2557

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ