ละเพราะไม่ใส่ใจกับพระไตรปิฎกที่ว่ายิงไกลยิงไวสัมพันธ์หรือไม่

 
papon
วันที่  4 ม.ค. 2557
หมายเลข  24286
อ่าน  701

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

ละ เพราะไม่ใส่ใจกับพระไตรปิฎกที่ว่า ยิงไกล ยิงไว กระผมว่าน่าจะสัมพันธ์กัน ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ละเพราะไม่ใส่ใจ หมายถึง ปัญญาที่เกิดพร้อมสติ ที่เป็นขั้น สติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ขณะนั้น ละ ละอะไร ละความไม่รู้ ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ละความเห็นผิด ชั่วขณะ และ รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม เพราะกำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม ละ เพราะ ไม่ใส่ใจ คือ ปัญญาเกิด ไม่ใส่ใจ ในนิมิต รูปร่าง สัณฐานที่เป็นสมมติ บัญญัติ เพราะ กำลังรู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แต่ไม่มีตัวเราที่จะพยายามไม่ใส่ใจ ไม่มีตัวเราที่จะละ แต่เป็นสติและปัญญาระดับสูง ทำหน้าที่ละความไม่รู้ และ ไม่ใส่ใน สมมติ บัญญัติ เพราะ ปัญญากำลังรู้ตัวปรมัตถ์ ที่เป็นลักษณะของสภาพธรรม ครับ

ส่วนยิงไกล และ ยิงไว หมายถึง ปัญญาที่เกิดรู้ความจริง แม้สภาพธรรมนั้นจะเกิดเพียงเล็กน้อย หรือ เกิด ทางไหนก็ตาม ปัญญาก็สามารถเกิดรู้ได้ ซึ่งเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม รูปธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ได้อย่างชำนาญ จึงเรียกว่า เป็นผู้ที่ยิงไกล และ ยิงไว คือ ปัญญาที่ไว มาก จึงระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ คล่องแคล่วทั้ง หกทวาร ซึ่งละเพราะไม่ใส่ใจกับ ยิงไกล และ ยิงไว สัมพันธ์กัน โดยต่างก็เป็นปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานเช่นกัน ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เป็นการอธิบาย ลักษณะของปัญญาที่แตกต่างกัน คือ ละ เพราะ ไม่ใส่ใจ มุ่งอธิบายถึงตัวอารมณ์ของปัญญา ว่า ไม่ใส่ใจในบัญญัติ แต่ ปัญญาเกิดระลึกรู้ปรมัตถ์ ส่วน ยิงไกล ยิงไว แสดงความละเอียดของปัญญาที่สามารถรู้ความจริงได้ อย่างละเอียด คล่องแคล่ว แสดงถึงปัญญาที่มีมาก ที่ระลึกได้ ทั้งหกทวาร ครับ เพราะฉะนั้น สำคัญที่ เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่อธิบายลักษณะของปัญญาที่แตกต่างกัน โดยความเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งและโดยระดับของปัญญาอย่างหนึ่ง ครับ

ขออนุโมทนา

เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ ครับ

ท่านอาจารย์ : ไม่ใช่เรื่องอนุญาต แต่เป็นเรื่องสภาพธรรมตามความเป็นจริง นามธรรมทั้งหมด ไม่ว่าริษยา ก็เป็นนามธรรม หมั่นไส้ ก็เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะไม่เข้าใจพยัญชนะ ที่ว่าผู้เจริญสติปัฏฐาน คือผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เหมือนนักรบที่ยิงไกลและยิงไว จะไม่เข้าใจเลยถ้าไม่ใช่ผู้เจริญสติปัฏฐานจริงๆ แต่ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานโดยถูกต้องและอบรมแล้ว จะรู้ได้เลยว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็ไม่มีตัวตน แล้วสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ทางตา ทางกาย ทางใจ เป็นไปอย่างรวดเร็วและสั้นมาก ถ้าสติไม่เกิด ขณะนี้อาจจะกำลังจดจ้องอยู่ที่หนึ่งที่ใด กำลังสนใจที่หนึ่งที่ใด แต่ว่าถ้าสติเกิดละคลายความติด เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่สภาพธรรมใดจะมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏ จะเห็นสภาพธรรมนี้ละเอียดขึ้นเพราะว่าเพียงเสียงนิดเดียว ก็ได้ยินแล้ว ลองสิคะ เวลานี้อาจจะเป็นน้ำฝนหยด นี่โดยพยัญชนะ ที่ใช้คำว่าเสียงน้ำฝนหยด แต่ความจริงนั้นเสียงนั้นเล็กแผ่ว แต่ก็ดัง และก็รู้แล้ว เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้นี้ รู้ในขณะที่เสียงปรากฏไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แล้วทันทีที่เสียงนั้นหมดไป สภาพธรรมอื่นมีปัจจัยเกิดสติก็ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น

เพราะฉะนั้น จะเห็นความเป็นปริตตธรรม คือธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเห็นว่าไม่มีสาระไม่ว่าจะสุข ความรู้สึกนิดเดียว ก็เปลี่ยนเป็นเห็น เปลี่ยนเป็นได้ยิน เปลี่ยนเป็นการรู้สึกแข็ง สามารถที่จะยิงไกล คือสิ่งซึ่งเวลาที่สติปัฏฐานไม่เกิด แล้วจะเหมือนไม่ปรากฏ แต่ความจริงแล้ว จิตได้ยิน แต่โมหะแทนปัญญา เพราฉะนั้นจึงไม่รู้ในเสียงที่ปรากฏ ผ่านไปเหมือนกับว่าไม่ได้ยิน หรือว่ากำลังเห็นก็ผ่านไปเหมือนไม่เห็น แต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะได้ทั่วทั้ง ๖ ทวาร แล้วเป็นผู้ที่ยิ่งรู้ก็ยิ่งละ สภาพธรรมก็จะยิ่งปรากฏโดยละเอียดขึ้น เหมือนกับการยิงซึ่งยิงได้ไกลมาก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะปรากฏเพียงเล็กน้อย นิดหน่อย สักเท่าไร ทางตา ... ทางกาย ทางใจเพียงแวบเดียวที่เกิดขึ้นปรากฏก็สามารถจะรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมได้

นี่คือผู้ยิงไกล คือสิ่งซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เคยสังเกต ไม่เคยรู้ว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะสั้นๆ แล้วดับ เพราะว่าเป็นผู้ที่ไม่สนใจในเสียงนั้น ในกลิ่นนั้น แล้วก็หลงลืมสติ เพราะว่าอวิชชา ทำให้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่สติมีลักษณะตรงกันข้ามกับอวิชชา เพราะว่าสภาพธรรมใดที่ปรากฏเป็นปกติ เวลาสติระลึกสภาพธรรมนั้นก็ปรากฏเหมือนปกติ แต่ปรากฏกับสติด้วย อย่างแข็งนี้ทุกคนก็กระทบได้ก็มีสภาพที่รู้แข็งคือกายวิญญาณ ไม่ใช่เรา เป็นสภาพรู้อาศัยกาย จึงเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสว่าแข็ง ขณะนั้นโดยปกติ และหลงลืมสติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีสติ แข็งนั้นก็ปกติกับสติด้วย ด้วยเหตุนั้นจึงรู้ลักษณะของแข็งแล้วก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็รู้ว่า ไม่ใช่เราที่กำลังรู้แข็ง แต่เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้เท่านั้น นี่คือปกติธรรมดาจริงๆ แต่ปัญญาเท่านั้นที่เจริญขึ้นๆ ๆ จนสามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป จึงชื่อว่ายิงไว เพราะว่าทันทีที่สภาพธรรมเกิดแล้วดับ ก็สามารถที่จะรู้ได้ตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 ม.ค. 2557

เป็นผู้ที่ยิงไกลและยิงไว

สุ.ต้องเป็นผู้ที่ยิงไกลและยิงไว” ข้อความนี้จะมีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถเข้าใจความหมายและการอบรมแค่ไหนอย่างไร อย่างโลภะของเรา เราเห็นอย่างหยาบๆ ใกล้หรือไกลคะที่เราเห็นได้ โลภะที่เรามีเป็นประจำ ที่เราพอจะรู้ได้ว่า เราติดข้องในสิ่งนั้นสิ่งนี้ หยาบพอที่จะให้เรารู้ว่า เราติดข้อง สิ่งนั้นใกล้หรือไกล โลภะที่ติดข้องแม้ในธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งปรากฏเป็นเพียงธาตุ ถ้าใครบอกว่าไม่มีโลภะติดข้อง เป็นพระอรหันต์แล้วค่ะ

เพราะฉะนั้น เราจะรู้ไหมถึงความละเอียดของโลภะ ซึ่งไม่มีอะไรเลย เป็นวิปัสสนาญาณ แล้วก็เพียงรูปธรรม จะเป็นร้อน หรือจะเป็นแข็ง จะเป็นอะไรก็ตามแต่ แต่มีความติดข้องว่า เป็นเรา เพราะว่าความเป็นเรา แต่ละคนก็ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าใช่ไหมคะ ศีรษะจรดเท้า ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใดไม่ปรากฏ แต่เวลาที่ปรากฏ ไม่ใช่ศีรษะจรดเท้า เฉพาะส่วนหนึ่งที่แข็ง แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ ลักษณะที่แข็งที่ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่โต แต่ว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แต่ว่าความเป็นเราจะยังคงเหลืออยู่หรือเปล่าหรือความร้อน หรือความอ่อน ก็ตามแต่ ธรรมดาๆ อย่างนี้ ถึงแม้ว่ารู้แล้ว ผ่านมาที่จะเข้าใจถูกต้องแต่เวลาที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ โลภะมีไหม หมดหรือยัง ผู้นั้นต้องเป็นผู้ละเอียดจริงๆ และโลภะนั้นไกลหรือใกล้ เห็นไหมคะ ไกลหรือใกล้ อย่างนั้นต้องไกล ถ้าละเอียดกว่านั้นต้องไกล แต่ถ้าสามารถจะรู้ได้ธรรมดาในชีวิตประจำวัน คือ ใกล้ คือสามารถจะเห็นตัวใหญ่ๆ ตัวโตๆ ได้ แต่ตัวไกลที่ละเอียดที่ต้องอาศัยปัญญาที่ละเอียดขึ้นจึงจะละได้ ก็เป็นสิ่งที่ไกล

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมต้องเป็นนักรบที่ยิงไกลและยิงไว “ไว” คือสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป เพราะเหตุว่าขณะนี้สืบต่อกันโดยที่สติไม่เกิดคั่นไม่ระลึก ไม่รู้ ไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับ ขณะนั้นก็ยังไม่ใช่ผู้ที่ยิงไว


ขอเชิญอ่านข้อความในพระไตรปิฎกโดยตรงได้ที่นี่ ครับ

ยิงไกล ยิงไว [โยธสูตร]

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 4 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเ้จ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จากที่ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ก็จะค่อยๆ มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้น และที่เข้าใจนี้ ก็เข้าใจในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน สะสมความเข้าใจในสิ่งที่มีจริง บ่อยๆ เนืองๆ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม มีความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมมากขึ้น ก็ทำให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา และที่สำคัญเป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็ย่อมรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง เพราะถ้าไม่เริ่มต้นจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจแล้ว ไม่สามารถที่จะเป็นนักรบที่ยิงไกล ยิงไว ได้เลย จะต้องอาศัยความอดทน ความเพียร และมีความจริงใจในการฟัง ในการศึกษาอย่างแท้จริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 4 ม.ค. 2557

ยิงไกล ยิงไว เพราะมีปัญญาสะสมมาที่จะเข้าใจธรรมในขณะนี้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ