ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ราชบุรี ๒๖ - ๒๘ พ.ย. ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  3 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24119
อ่าน  2,746

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๖ - ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา คุณพ่ออุดม คุณแม่นวลศรี และ พันตรีหญิง ศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปสนทนาธรรม ที่ บ้านมิ่งโมฬี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นการเชิญไป เป็นประจำทุกปี

ข้าพเจ้า มีโอกาสได้เดินทางไปร่วมฟังการสนทนาธรรม ในสองวันสุดท้าย คือ วันที่ ๒๗ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยได้เข้าพักที่ ลา ทอสคาน่า รีสอร์ท ซึ่งมีที่ตั้ง อยู่ติดกับบ้านมิ่งโมฬี ที่เป็นที่สนทนาธรรม ซึ่งเป็นความสะดวกอย่างยิ่ง โดยความกรุณาของคุณศิริลักษณ์ ซึ่งขณะที่ตัดสินใจที่จะไปนั้น ที่พักแห่งนี้ ถูกจอง จนเต็มโควต้าหมดแล้ว ต้องกราบอนุโมทนาคุณลักษณ์ ในความกรุณาหาที่พักให้ครับ

นอกจากจะสะดวกในการเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดี ที่ข้าพเจ้าและครอบครัว จะได้พักผ่อน ท่ามกลางความงดงามของสถานที่ ในบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา ที่เขียวสดชื่น สบายๆ ซึ่ง ถ้าหากครอบครัวข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วย ข้าพเจ้าก็จะพักที่บ้านหลังใหญ่ที่สนทนาธรรม ซึ่งก็จะเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง ที่ได้อยู่ท่ามกลางท่านวิทยากร และเสียงของพระธรรมที่เปิดฟังจนตลอดคืน เป็นสุขที่แท้จริงที่หาได้มีใครเป็นคนเลือกไม่ ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมเป็นไป ตามเหตุและปัจจัย เมื่อถึงเวลา แม้ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ก็จะได้เห็น เมื่อได้พิจารณาโดยบ่อย ก็จะมั่นคงขึ้นในธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด

ข้าพเจ้าเดินทางไปถึงในตอนสายๆ ราวสิบโมงของวันที่สอง ของการสนทนาธรรม หลังสนทนาธรรมช่วงเช้า และ รับประทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ได้เข้าเช็คอินที่พัก และ เข้าเยี่ยมชมห้องพักแบบต่างๆ ที่เพื่อนๆ สหายธรรมเข้าพักแล้วก่อนหน้านี้ตามคำชวนของเพื่อนๆ สหายธรรม ซึ่งมีความหรูหรา สวยงามอลังการ ต่างๆ กันไป

ได้คิดพิจารณาอยู่โดยบ่อยว่า หากมิใช่เพราะบุญที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน อันมียอด คือ ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้แล้วไซร้ การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ย่อมเป็นการไปเพื่อความสนุกสนานแต่โดยส่วนเดียว หาใช่ เป็นไป พร้อมกับการที่จะได้สะสม อบรม เจริญปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกในธรรมะ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่กล่าวแล้วทั้งหมด เยื่อใย ในความสวยงามที่ได้พบ ได้เห็น แล้วนั้น หาใช่ความสำคัญและมีค่า เท่ากับการได้ฟัง และ สะสม ความเข้าใจในพระธรรม ที่จะเป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมโดยแท้ แม้จะรู้ว่า "เห็น เพื่อ ลืม" ตามที่ท่านอาจารย์ได้เคยกล่าวเตือนอยู่บ่อยๆ ก็ยังปรารถนาที่จะได้เห็น แม้จะรู้ว่า ณ ขณะนี้ "เห็น" ที่เคยเกิดขึ้น ณ ลา ทอสคาน่า รีสอร์ท ที่สวนผึ้ง ราชบุรี และ ที่บ้านมิ่งโมฬีนั้น ดับหมดสิ้นไปแล้วและ จะไม่มีวันกลับมาอีกเลย ก็ตาม

หลังเช็คอิน และ รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คุณลักษณ์ ได้กรุณาแจ้งให้ทราบว่าตอนบ่ายสองโมง จะพาทุกท่าน ไปชิมไส้กรอกเยอรมัน และ พักผ่อนชมวิวสวนผึ้งบนยอดดอยเล็กๆ ไม่ไกลจากบ้านมิ่งโมฬี ก่อนที่จะกลับมาสนทนาธรรมต่อในเวลาเย็น เป็นรอบสุดท้าย

ทุกๆ ท่านจะเห็นได้ว่า ในทุกๆ ที่ ที่ท่านอาจารย์เดินทางไป ไม่เคยมีแม้ขณะเดียวที่จะปราศจากความเมตตา เกื้อกูลของท่าน ในการให้ความเข้าใจถูก เห็นถูกในธรรม ชีวิตของท่าน จึงไม่ผิดไปจากคำกล่าวที่ว่า ท่านเป็นผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาโดยแท้

เมื่อเริ่มเข้าใจ ย่อมรู้ได้ด้วยตนว่า การที่ถึงแก่กาลหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะยากลำบากเช่นไร บุคคล ก็จะดั้นด้น หาหนทางเข้าไปกราบแทบเท้า ท่านผู้มีพระคุณอันยิ่งในชาตินี้ ทั้งรู้ได้ด้วยตนอีกว่า ท่านผู้นั้น หาใช่บรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ หรือ ผู้มีชื่อเสียงเรียงนามใด แต่คือ "ปัญญา" ซึ่งเมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะ ย่อมรู้ว่าปัญญาไม่ใช่ผู้หญิง ปัญญาไม่ใช่ผู้ชาย ปัญญาไม่ใช่บรรพชิต ปัญญาไม่ใช่คฤหัสถ์ แต่ ปัญญา เป็น ปัญญา เป็นความเห็นถูก เป็นความเข้าใจถูก ในธรรมะ ในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้

และ ในทุกๆ ที่ ที่ท่านอาจารย์ไป ก็จะเห็นภาพของ "ผู้แสวงหาปัญญา" มารุมล้อมท่านอาจารย์ ในทุกๆ ที่ ตลอดระยะเวลายาวนาน ร่วมหกสิบปีมาแล้ว ดังที่ข้าพเจ้าเคยปรารภกับท่านอาจารย์ว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ก่อนที่จะได้พบกับท่าน ข้าพเจ้าเหมือนคนที่แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่จบสิ้น ฟังท่านโน้น ท่านนี้ ที่มีผู้กล่าวว่า มีชื่อเสียงมากมายหลายท่าน หนังสือของท่านเหล่านั้น เต็มห้องสมุดในบ้าน กองเต็มหัวเตียงในห้องนอน เทปนับร้อยม้วน ก็ยังรู้สึกว่า ยังแสวงหาไม่พบ ท่านอาจารย์กล่าวตอบข้าพเจ้าสั้นๆ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง ที่ยังตรึงอยู่ในใจ จนบัดนี้ ท่านกล่าวว่า "แสวงหา ปัญญา" ... กราบท่านอาจารย์ ครับ

... "กำลังเห็น" แล้วก็ไปหาที่พึ่งอื่น "กำลังได้ยิน" ก็ไปหาที่พึ่งอื่น แต่ "เดี๋ยวนี้" เอง ที่ "เห็น" มีอะไรเป็นที่พึ่ง? มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง "พึ่ง" เพื่อสามารถที่จะทำให้เข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมี เมื่อมีความเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหน ก็มีที่พึ่ง เมื่อมีความเข้าใจสิ่งนั้น แต่ถ้า อยู่ที่ไหน ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือ ไม่มีที่พึ่ง ที่จะทำให้ "มีความเห็นถูก" ว่า แท้ที่จริง "สิ่งนั้น" เพียงมีปัจจัยทำให้เกิด แล้วดับไป "ไม่ใช่เรา" ไม่ใช่ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง เลย ...

หลังเสร็จจากพักผ่อน และ ชมทิวทัศน์แล้ว ยังมีเวลาเหลือก่อนการสนทนาธรรม คุณลักษณ์ จึงพาทุกท่านไปชมตลาดน้ำสวนผึ้ง ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ แต่ก็อย่างเคย คือ เมื่อทุกท่านไปถึง ก็มีผู้แสวงหาปัญญามารุมล้อมท่านอาจารย์เพื่อสนทนาธรรม เรียนถามข้อสงสัย ข้อข้องใจ จากท่าน เหมือนเคย เป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่ง แม้แก่บุคคลที่ผ่านไปมาในสถานที่นั้น

ทุกท่านมีความเพลิดเพลิน ร่าเริง ในธรรม ที่ท่านอาจารย์แสดง จนเลยเวลาไปเล็กน้อย

แต่ท่านอาจารย์ก็มีเมตตามาก ท่านเกื้อกูลจนมีผู้บอกว่า ได้เวลาแล้ว ทุกคนจึงหยุด

เพื่อไปสนทนาต่อ ที่บ้านมิ่งโมฬี ในตอนบ่าย ตามที่ได้ตกลงกัน

ดังข้าพเจ้าจะขออนุญาต นำความการสนทนา ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงความหมาย ของคำว่าธรรมะ ไว้โดยละเอียด มีความไพเราะ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะได้พิจารณา ซ้ำแล้วซ้ำอีก มาประกอบกับภาพที่ได้บันทึกไว้ เพื่อให้ทุกๆ ท่าน ที่ไม่มีโอกาสได้ไป ได้ชมและพิจารณาร่วมกัน

อนึ่ง ในตอนท้าย ข้าพเจ้าได้คัดเอาตอนที่มีผู้ถามเกี่ยวกับ เรื่องการเมือง ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ได้แสดงไว้อย่างลึกซึ้ง เป็นประโยชน์ น่าพิจารณาด้วยความละเอียดอย่างยิ่งเช่นกันครับ

คุณคำปั่น ได้ทราบว่าวันนี้ มีท่านผู้ฟังใหม่หลายท่าน ก็คงจะได้มีโอกาสได้สนทนา เพื่อเข้าใจธรรมะ เข้าใจสิ่งที่มีจริง มั่นคงยิ่งขึ้น นะครับ ก็อยากจะให้ท่านอาจารย์ ได้กล่าวถึงในช่วงแรกครับว่า ธรรมะ คือ อะไร? และ ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนหรือเปล่า? กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ แค่นี้ก็จะงงแล้ว ใช่ไหมค? ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ "เห็น" มีจริง "ได้ยิน" มีจริง "คิดนึก" มีจริง เพราะฉะนั้น เราก็ไม่เคยรู้ ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เรามีความรู้ ความเข้าใจ แค่ไหน? เช่น บอกว่า "เห็น" ใครรู้จัก "เห็น" บ้าง? และ "เห็น" คือ อะไร? เมื่อวานนี้ก็เห็น พอเกิดมา ลืมตาก็เห็นแล้ว แล้วก็จะเห็นต่อไป จนถึงวันตาย ก่อนตาย ก็คงจะเห็น ก็แล้วแต่ จะตายหลังเห็น หรือจะตายเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ แล้วก็ต้องเห็นอีก คือ เกิดอีก

เพราะฉะนั้น จะมี "เห็น" ซึ่งเราไม่เคยเข้าใจเลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ว่า สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทุกวัน เรารู้ความจริงหรือเปล่า? หรือ เราไม่มีความรู้เลย? เห็นก็เห็นไป ได้ยินก็ได้ยินไป คิดก็คิดไป สุขก็สุขไป ทุกข์ก็ทุกข์ไป แล้วก็ตาย ... .

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เกิดมา เพื่อที่จะเห็น จริงหรือเปล่า? เกิดมา บังคับให้ไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้ได้ยินแล้ว บังคับไม่ให้ "ไม่คิด" ก็ไม่ได้ เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีจริง เราไม่เคยรู้เลยว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง จนกระทั่ง ต้องมีผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งถึงสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยละเอียดยิ่ง

เพราะฉะนั้น เพียงคำว่า "เห็น" ไม่เห็นจะลึกซึ้ง สำหรับคนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว รู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เมื่อได้มีการได้ยิน ได้ฟังแล้ว จะเห็นว่า ลึกซึ้ง และ เป็นสิ่งซึ่ง ต้องเป็น "ปัญญา" จริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ได้

มิฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นที่พึ่งของเรา อย่างไร? ทุกวัน ทุกวันนี้ เราพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนไหน? ตั้งแต่เช้ามา "พึ่ง" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่กล่าวว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ" พูดแล้ว จบ แต่ว่า พึ่งเมื่อไหร่? พึ่งตอนไหน? และ พึ่งอย่างไร? ก็ไม่รู้เลย

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่ "แต่ละคำ" ก็มีความลึกซึ้งมาก ลึกซึ้ง จนต้องรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ใคร? และ เวลาที่เรากล่าวว่า เราพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ) เราเข้าใจไหม? ว่าเราพึ่งพระองค์ อย่างไร?

หรือ "เพียงแต่พูด" คำว่า "พึ่ง" แต่ความจริง ไม่ได้พึ่งสักวัน ถ้าไม่สามารถที่จะฟังพระธรรม เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ของแต่ละคำ ไม่ควรจะประมาทเลย แม้แต่เพียงคำว่า "ขอถึงพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง" (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ) ต้อง "ตรง" แล้วก็ "จริงใจ" เพราะเหตุว่า จะพึ่งอะไรในชีวิต? ทุกสิ่งทุกอย่าง มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วหมดแล้ว พึ่งได้ไหม? พึ่ง "เห็น" ได้ไหม? พึ่ง "ได้ยิน" ได้ไหม? พึ่ง "คิด" ได้ไหม? พึ่ง "โลภะ" ได้ไหม? พึ่ง "โทสะ" ได้ไหม? ทุกอย่างที่มี ไม่ใช่ที่พึ่ง ที่แท้จริง เพราะเหตุว่า เกิดแล้ว ไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจใดๆ เลย ทั้งสิ้น แล้วก็ไม่รู้ด้วย ว่าอะไร?

เพราะฉะนั้น การศึกษา เพียงแต่คำว่า "ธรรมะ" ก็ละเอียด อย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะรู้ความจริงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม คือ เรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด เพื่ออะไร? เพื่อให้ "รู้จักธรรมะ" สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง รู้จักทำไม? เพื่อที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นเราจริงๆ หรือว่า เป็นเพียง สิ่งที่มีจริงๆ ชั่วขณะ ที่แสนสั้น แล้วก็ หมดไป โดยไม่รู้เลย ว่า ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กำลังมีในขณะนี้ ปรากฏ เพราะ เกิดขึ้น แต่ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป สืบต่อ ติดกัน จนกระทั่ง หลงเข้าใจผิด ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ยั่งยืน เพราะเหตุว่า ไม่รู้การเกิดขึ้น และ ดับไป ของสภาพธรรมะ

เพราะฉะนั้น คนที่เกิดมาแล้ว แล้วก็รู้ว่า ต้องจากโลกนี้ไป แน่นอน ไม่มีใครที่เกิดแล้ว ไม่ตาย แต่ว่า เกิดมาแล้ว สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สนุกสนาน รื่นเริง แล้วก็ ตาย เมื่อวานนี้ ก็ไม่เหลือ วันก่อน ตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่เหลือ เมื่อกี้นี้ ก็ไม่เหลือ ต่อไป ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ไม่มี มี เพราะ เกิดขึ้นแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ มานานแสนนาน แล้วก็ไม่ใช่ของใคร ชาติก่อนเป็นใครไม่รู้ ชาตินี้รู้ กำลังเป็น แต่ชาติต่อไป เป็นใคร? ก็ไม่รู้อีก ก็เป็นอย่างนี้

แค่เกิดมาเป็น แล้วก็ไม่เป็น แล้วก็เป็น แล้วก็เป็น อยู่เรื่อยๆ โดยที่ว่า ไม่เหลืออะไรเลย แล้วจะมีอะไร? นอกจาก ความเห็นผิด ว่า "เป็นเรา" แต่ถ้ารู้ว่า ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิด เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของเรา และ ไม่ใช่เรา มีประโยชน์ไหม? เพียงแค่ ฟังให้เข้าใจ หรือว่า จะไปฟังอย่างอื่น แต่ว่า ไม่รู้ความจริง แต่แท้ที่จริงก็คือว่า ถึงจะไปรู้อะไรมากมาย สักเท่าไหร่ ดิ้นรนไป มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เสร็จแล้วก็ต้องจากไป แล้วก็ไม่ได้เป็นของเราจริงๆ เลย

เพราะฉะนั้น ก็มีชีวิตอยู่ ในแต่ละหนึ่งขณะ ขณะที่ "เห็น" ชีวิต อยู่ที่ "เห็น" แล้วเห็น ก็ดับ พอ "ได้ยิน" ชีวิตก็อยู่ตรงที่ "ได้ยิน" แล้วก็ ดับ ขณะที่ "คิดนึก" ชีวิตก็อยู่ตรงนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือ แต่ละหนึ่งขณะ ของสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น การที่จะได้ยินได้ฟัง ธรรมะที่ลึกซึ้งเท่านั้น ที่จะทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อพึ่งพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่ทรงแสดงความจริง ให้เราไม่มีโอกาสจะได้ฟังเข้าใจ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงพระธรรม

เพราะฉะนั้น พระธรรมะแต่ละคำ ซึ่งเป็นพุทธพจน์ เป็นสิ่งที่มีค่า ประมาณไม่ได้เลย ถ้าเราฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ แต่ละคำ มีค่า ที่คนอื่นไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับศรัทธา สภาพของจิตที่ผ่องใส ไร้ความติดข้อง และไร้โทสะ และ ขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้น จิตก็สะอาด พ้นจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในสิ่งซึ่ง "เห็น" ก็ไม่รู้อะไร? "ได้ยิน" ก็ไม่รู้ว่าอะไร? ไม่รู้ จนกระทั่งไม่รู้ว่า ตัวเอง สภาพของจิตของแต่ละคนนี้ สะอาดหรือเปล่า? มีละอองของกุศล ทุกครั้งที่เห็น ทุกครั้งที่ได้ยิน โดยไม่รู้ตัวเลย

เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม ซึ่งยาก ที่จะได้ฟัง เพราะว่าแต่ละชาติ ไม่นานเลย เกิดมา บางคน ก็จากไปอย่างรวดเร็ว บางคนก็นาน แต่จะเร็วหรือช้า ไม่สำคัญเท่ากับว่า มีโอกาสได้ฟัง หรือเปล่า?

เพราะเหตุว่า กว่าจะได้ฟัง ก็ยาก และ ฟังแล้ว ก็ยังต้องสะสมต่ออีก เพราะว่า ไม่ใช่สิ่งที่รู้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เป็นขณะ ที่หาได้ยากยิ่ง ที่มีโอกาส จะได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจขึ้น

เพราะฉะนั้น ก็เป็เรื่องที่ ไม่ง่าย แล้วก็ไม่เร็ว แต่ประโยชน์ "ล้ำค่า" เพราะเหตุว่า แต่ละคำ สามารถที่จะ สะสม ให้รู้ว่า ความจริง คือ อะไร กำลังมีความจริง แต่ยังไม่รู้ว่า ความจริง คือ อะไร? จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม พระธรรม เป็นปรกติไหม? ต้องไปหาที่ไหนหรือเปล่า? มีแล้ว แต่ไม่รู้

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม ระหว่าง คุณหมอธงชัย กับ ท่านอาจารย์ ซึ่งโดยความเห็นของข้าพเจ้า เป็นความไพเราะอย่างยิ่ง ในความลึกซึ้งของธรรมะที่ท่านอาจารย์ได้มีเมตตากล่าวไว้โดยละเอียดในช่วงเวลานี้ เพื่อประโยชน์อันยิ่ง แก่ผู้ศึกษาธรรม จะได้พิจารณา ด้วยความนอบน้อมในธรรม ในสมัยที่บ้านเมือง มีความวุ่นวายแตกแยกนี้ ปัญญา ไม่หวั่นไหว ไม่แตกแยกอวิชชา เท่านั้น ที่แตกแยก แตกแยก เพราะความไม่รู้ ขอเชิญทุกท่านได้อ่าน และ พิจารณาข้อความโดยละเอียด เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ครับ

คุณหมอธงชัย กราบเรียนท่านอาจารย์ ที่เคารพครับ เมื่อเช้า ผมฟังข่าว เรื่องของนักการเมืองคนหนึ่ง เข้าโรงพยาบาล ตอนนั้น ผมมีความรู้สึกว่า ก็สมน้ำหน้า แต่จริงๆ แล้ว ตอนนั้น มันจะตกนรกไปกับเขาด้วย ก็เห็นโทษของอกุศล ทีนี้ ผมก็นึกถึงเรื่องของกรรม เป็นกรรมของเขา ที่ได้ทำมา ตอนนั้นก็เข้าใจ แต่ที่ผมจะถามท่านอาจารย์ เพราะเมื่อวาน ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องความสอดคล้อง หรือ ความไม่สอดคล้องของธรรมะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าเป็นความจริงนะคะ จริงตลอด แล้วก็ต้องสอดคล้องกับข้อความอื่นๆ ซึ่งจริงด้วยคุณหมอมีโลภะ มีโทสะ ไม่ใช่แต่เฉพาะ ตอนที่ฟังเรื่องการเมือง แต่ว่า "ปัญญา" สามารถที่จะเข้าใจ ขณะนั้น ได้ไหม? ถ้าอบรมแล้ว ไม่ใช่ให้คุณหมอ ไปบังคับ เปลี่ยนชีวิตของหมอที่สะสมมา เพราะว่า ทุกคน แม้ในขณะนี้ ก็กำลังประพฤติ ตามที่เป็นไป ใครจะไม่เป็นไปอย่างนี้ ไม่ได้ เพราะเหตุว่า สะสมมา ที่จะเป็นอย่างนี้

ท่านอาจารย์ และ อีกอย่างหนึ่ง คุณหมอ ใช้คำว่า "การเมือง"
คุณหมอธงชัย ครับ
ท่านอาจารย์ ทุกคำ ต้องเข้าใจ "ชัดเจน" อยู่ที่ไหน? ที่จะไม่มี "เมือง"
คุณหมอธงชัย ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ ต้องมีเมือง ตลอด แล้วถ้าหมอไม่รู้อะไรเลย กับ หมอเข้าใจถูก อะไรจะดีกว่ากัน?
คุณหมอธงชัย ก็ เข้าใจถูกครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น เข้าใจถูกทั้งหมด เป็นความจริง ดี คือ ดี ชั่ว คือ ชั่ว ใช่ไหมคะ? แต่ไม่ใช่ว่า เอาชั่วเป็นดี หรือว่า เอาดีเป็นชั่ว

หรือ พยายามที่จะ ไม่รู้ ในเมื่อหมอสะสมมา ที่จะไม่ใช่บรรพชิต ผู้สละอาคารบ้านเรือน มีกิจต่างกับคฤหัสถ์ บรรพชิต ทำกิจของบรรพชิต บรรพชิต ทำกิจของคฤหัสถ์ ก็ไม่ใช่บรรพชิต คฤหัสถ์ อยู่คนเดียว หรือเปล่า? แล้วถ้าเข้าใจเรื่อง กุศล และ อกุศล คุณหมอ จะทำกุศล หรือ อกุศล?
คุณหมอธงชัย ทำกุศล ครับ
ท่านอาจารย์ คือ ความถูกต้อง ใช่ไหมคะ?
คุณหมอธงชัย ใช่ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมะ ทั้งหมด ตามการสะสม แต่ต้องไม่ลืมว่า โลภะ ดีไหม? โลภะนี่ ดีไหม?
คุณหมอธงชัย ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์ โทสะ
คุณหมอธงชัย ก็ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์ โมหะ
คุณหมอธงชัย ก็ไม่ดีครับ
ท่านอาจารย์ ไม่เกิด ได้ไหม?
คุณหมอธงชัย ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ใช่ไหม? ห้ามได้ไหม? ไม่ให้เกิด
คุณหมอธงชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจถูก นี่คือ ประโยชน์ จริงๆ เว้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะ ณ ยามใด สุข ทุกข์ เดือดร้อน เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือ อะไรก็ตามแต่ "ปัญญา" เป็นที่พึ่ง

"ปัญญา" มาจากไหน? มีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น คุณหมอ โกรธมากๆ ธรรมะยังไม่ได้พึ่ง เพราะเหตุว่า ไม่พอที่จะพึ่ง แต่ก็มีปัจจัย ที่จะคิดได้ว่า เป็นกรรมของแต่ละคน และ อีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า ความมั่นคงของเรา ที่จะไม่หวั่นไหว อะไรจะเกิด ก็เกิด ระหว่าง "ชั่ว" กับ "ดี" ถ้าดีแพ้ ก็ยังเป็นดี ดีชนะ ก็เป็นดี จะชนะหรือแพ้ ก็เป็น "ดี" แต่ถ้าชั่วแพ้ ก็เป็นชั่ว ชั่วชนะ ก็เป็นชั่ว จะเปลี่ยน "ชั่ว" ให้เป็น "ดี" ก็ไม่ได้ ใช่ไหม? ชั่วก็ยังเป็นชั่ว

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง "ไม่มีวันผิด" แต่ว่า ต้องเป็น "ปัญญา" ที่สามารถที่จะเห็นถูกว่า อยู่ในความถูกต้อง ถ้าอยู่ไม่ถูกต้อง ก็คือว่า เป็นกุศล

เพราะฉะนั้น คุณหมอ ก็รู้ว่า บังคับไม่ให้ฟัง ก็ไม่ได้ เพราะที่ไหน ก็เมืองทั้งนั้น และ ฟังแล้ว จะไม่ให้เกิด โลภะ โทสะ ก็ไม่ได้ แต่ สะสม "ปัญญา" ที่จะเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ในบรรดาธรรมะทั้งหมด "ปัญญา" ประเสริฐสุด ในบรรดาธรรมะ ซึ่งเป็นสังขารธรรม "ปัญญา" ประเสริฐสุด ไม่ว่าคุณหมอ จะกำลังโกรธ "ลักษณะโกรธ" มีจริงๆ หรือเปล่า?
คุณหมอธงชัย มีครับ
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงเรื่องโกรธ หรือเปล่า?
คุณหมอธงชัย แสดงครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ใช่ไหม?
คุณหมอธงชัย ไม่ใช่ ครับ
ท่านอาจารย์ เดือดร้อนทำไม?

แต่ว่า ที่จะไม่เดือดร้อน เพราะ "ปัญญา" ถ้าปัญญาไม่เกิด ยังไงๆ ก็ต้องเดือดร้อน พูดถึง โทสะ ขณะที่ โทสะ ไม่ปรากฏ มีประโยชน์ไหม? กับ ในขณะที่ โทสะกำลังปรากฏ "ลักษณะนั้น" ไม่ต้องมีใครมาบอกเลย ว่านี่นะ ในพระไตรปิฎก ภาษามคธี เรียกว่า โทสะ ไม่ต้องบอกอย่างนั้นเลย "ลักษณะนั้น" ปรากฏ ว่าไม่เป็นอย่างอื่นเลย

เพราะฉะนั้น ธรรมะ แต่ละหนึ่ง เป็นหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้ จะให้โทสะ เป็นโลภะ ไม่ได้ จะให้โทสะ เป็นปัญญา ไม่ได้ โทสะเกิดให้เห็นว่าเป็นธรรมะที่มีจริง แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด ก็เดือดร้อน โทสะเป็นเรา เรามีโทสะมาก

เพราะฉะนั้น กว่าจะเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ที่จะเผชิญหน้า กับสิ่งที่ปรากฏ ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง นั่นคือ ปัญญา ที่สามารถมีปัจจัยเกิด แล้วรู้ความจริงในขณะนั้น สามารถที่จะ รู้แจ้ง เป็นพระอริยบุคคล ได้ทันที ไม่ว่าสภาพธรรมะใด ทั้งนั้น ด้วยการที่ต้อง ละความเป็นเรา ออกจากสภาพธรรมะ ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น แทนที่จะ เอ๊ะ ... .จะฟังดี หรือ ไม่ฟังดี ก็มานั่งคิด เรื่องการบ้าน การเมือง หรือ อะไรต่างๆ เสียเวลา ค่ะ เพราะขณะคิด ก็เป็นธรรมะ เกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย เราอาจจะคิดว่า เราตัดสิน ว่าจะไม่ฟัง ก็เป็นเพราะ เหตุปัจจัย เราตัดสินว่าเราจะฟัง คิดว่า เราตัดสิน ก็เป็นธรรมะ ซึ่งคิดอย่างนั้น ตามเหตุ ตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น เพียงคำว่า "กำลังประพฤติ ตามที่เป็นไป" จะไม่ทำให้เรา ไปที่อื่น ไปคิดว่า จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วจะเข้าใจ แต่ กำลังประพฤติ ตามที่เป็นไป สิ่งนั้นเกิดแล้ว เป็นแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว

จะฟังอีกไหม? เดือดร้อน อีกหรือเปล่า? ก็แล้วแต่ปัจจัย ใช่ไหม? แต่ว่า ขอให้รู้ว่า ปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจะทำให้ ค่อยๆ ละ ความติดข้อง ที่ยึดถือ (สภาพธรรมะ) ว่าเป็นเราก่อน อย่าไปคิดว่า จะไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ยังเป็นเรา กิเลสอื่น ก็ยังดับไม่ได้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพ่ออุดม คุณแม่นวลศรี และ พันตรีหญิงศิริลักษณ์ มิ่งโมฬี

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมา ได้ที่นี่ ... ..

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ๒๒ - ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านมิ่งโมฬี สวนผึ้ง ๓๐ ต.ค. - ๑ พ.ย. ๒๕๕๕


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 3 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...กว่าจะได้ฟัง ก็ยาก

และ ฟังแล้ว ก็ยังต้องสะสมต่ออีก เพราะว่า ไม่ใช่สิ่งที่รู้ง่าย

ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เป็นขณะ ที่หาได้ยากยิ่ง

ที่มีโอกาส จะได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจขึ้น...

.......................

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของครอบครัวมิ่งโมฬีขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จะฟังอีกไม๊คะ? เดือดร้อน อีกหรือเปล่า?

ก็แล้วแต่ปัจจัย ใช่ไหม?

แต่ว่า ขอให้รู้ว่า ปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

จะทำให้ ค่อยๆ ละ ความติดข้อง ที่ยึดถือ (สภาพธรรมะ) ว่าเป็นเราก่อน

อย่าไปคิดว่า จะไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ

เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ยังเป็นเรา กิเลสอื่น ก็ยังดับไม่ได้

---------------------------------

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของครอบครัวมิ่งโมฬีขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
napachant
วันที่ 3 ธ.ค. 2556

เพราะฉะนั้น เพียงคำว่า "กำลังประพฤติตามที่เป็นไป"

จะไม่ทำให้เราไปที่อื่น

ไปคิดว่า จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วจะเข้าใจ

แต่กำลังประพฤติตามที่เป็นไป สิ่งนั้นเกิดแล้ว เป็นแล้ว

เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว

กราบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์

...สิ่งที่มีจริงทุกสิ่ง มีคำตอบให้เข้าใจได้เสมอ ถ้ามีปัญญา

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งาม

ที่ถ่ายทอด...สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ตลอดมาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pukka
วันที่ 3 ธ.ค. 2556

ขอขอบพระคุณรูปภาพสวยๆ ถ้อยคำไพเราะและขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
raynu.p
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

กราบอนุโมทนาค่ะ

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 4 ธ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ch.
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

" ขอให้รู้ว่า ปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก"

จะทำให้ ค่อยๆ ละ ความติดข้อง ที่ยึดถือ (สภาพธรรมะ) ว่าเป็นเราก่อน

อย่าไปคิดว่า จะไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ

เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ยังเป็นเรา กิเลสอื่น ก็ยังดับไม่ได้

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของครอบครัวมิ่งโมฬีขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jeabnachon
วันที่ 18 ธ.ค. 2556

เขียนได้ซึ้งมากๆ ค่ะ ภาพสวย ขอบคุณมากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wirat.k
วันที่ 19 ธ.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ