แปลกใจที่ได้ยินว่าพระอรหันต์ไม่เกิดสติเพราะไม่มีจิตที่เป็นกุศลแล้ว

 
sikkha
วันที่  6 พ.ย. 2556
หมายเลข  23976
อ่าน  1,039

สติเป็นไปในกุศล พระอรหันต์ไม่มีจิตที่เป็นกุศล อกุศลแล้ว สติจึงไม่เกิดในจิตของพระอรหันต์ ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจ แม้จะกล่าวว่า พระอรหันต์รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา

กรุณาให้คำอธิบายเพิ่มเติมประกอบความเข้าใจด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สติ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก สติ เป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย สติ ทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี และสติเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส สติเจตสิก เกิดกับ จิตฝ่ายดี ซึ่ง เกิดได้ทั้ง จิตที่เป็น ชาติกุศล วิบาก และ กิริยาจิต

พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นของกิเลสอีก เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ที่ยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีจิต เจตสิกและรูปอยู่ แต่จิตของพระอรหันต์ แตกต่างจากผู้ที่ยังมีกิเลส เพราะจิตของพระอรหันต์ จะไม่เป็นจิตที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิตอีกเลย แต่จะมีจิตเกิดเพียง 2 ชาติเท่านั้น คือ วิบากจิตที่เป็นผลของกรรม และกิริยาจิต เพราะฉะนั้น ขณะที่จิตที่ดีของพระอรหันต์เกิดขึ้น ไม่ใช่กุศลจิต แต่เป็นกิริยาจิตที่ดีเกิดขึ้น และพระอรหันต์ก็ยังได้รับผลของกรรมอยู่ เพราะยังมีขันธ์ 5 ยังได้รับผลของกรรม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือ ยังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ซึ่งขณะนั้นเป็น จิตชาติวิบากที่เป็นผลของกรรม คือ จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้กระทบสัมผัส สรุปได้ว่า จิตพระอรหันต์ มี 2 ชาติ คือ วิบากจิตและกิริยาจิตครับ เมื่อ พระอรหันต์ มีจิต ที่เป็น วิบากจิต และ กิริยาจิต ส่วน สติเจตสิก ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลจิตเท่านั้น แต่เกิดได้กับกุศลจิต และเกิดได้กับวิบากจิต และกิริยาจิต เพราะฉะนั้น แม้พระอรหันต์ จะไม่มีกุศลจิต อกุศลจิตแล้ว แต่พระอรหันต์ก็ยังมีกิริยาจิต และวิบากจิต สติเจตสิก จึงสามารถเกิดกับกิริยาจิต กับวิบากจิตของพระอรหันต์ได้ รวมความว่า พระอรหันต์ มีสติเจตสิกเกิดขึ้นได้ ครับ ยกตัวอย่างเช่น ขณะจิตที่ดีของท่านเกิดขึ้น เช่น มีเมตตา ขณะนั้นก็มีสติที่เกิดกับกิริยาจิตในขณะนั้น ที่ระลึกเป็นไปในการที่ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ครับ ส่วนพระอรหันต์ ไม่ได้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา คือ เกิดสติทุกครั้ง ขณะที่เห็น ก็ไม่มีสติ เพียงแต่ว่า ท่านจะไม่หลงลืมสติ คือ ไม่เกิดอกุศลจิต จึงเรียกว่า ผู้ไม่หลงลืมสติ หรือมีสติสมบูรณ์ เพราะไม่มีเหตุให้อกุศลที่ไม่มีสติเกิดขึ้น ครับ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเกิดสติ ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน พระอรหันต์ก็ไม่ได้เกิดปัญญาตลอดเวลา แต่เกิดเป็นบางขณะ ครับ แต่ก็ชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญาบริบูรณ์แล้ว

นิครนถ์นาฏบุตรเป็นเจ้าลัทธิหนึ่งในสมัยพุทธกาลปฏิญาณตนว่า เป็นผู้มีสติปัญญา ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ แต่พระพุทธเจ้าปฏิเสธความเห็นนั้น และแสดงว่า แม้พระองค์เองก็ไม่มีปัญญาเกิดตลอดเวลา แต่พระองค์ไม่มีกิเลสเลย แม้บางขณะไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ดังนั้นพระอรหันต์เมื่อเห็นทางตา ใจ ย่อมไม่เป็นกุศลหรืออกุศลเลย แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทุกๆ อิริยาบถครับ

[เล่มที่ 20] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 441

ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปรกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญญาญาณทัสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ไม่เป็นอันกล่าวตาม คำที่เรากล่าวแล้ว และชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่เป็นจริง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 8 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของกิเลสใดๆ เลย เพราะท่านดับได้อย่างหมดสิ้นแล้ว แต่ท่านยังมีขันธ์ เกิดขึ้นเป็นไปแต่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสเลย จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพานพระอรหันต์ มีจิตเพียงสองชาติคือวิบากกับ กิริยาเท่านั้น พระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ เพราะท่านดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ไม่มีการหลงลืมสติ แต่เมื่อว่าโดยขณะจิตแล้ว พระอรหันต์ มีเห็น มีได้ยิน เป็นต้น ขณะนั้นเป็นวิบากจิต มีเพียงเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ เท่านั้น ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เกิดขึ้น ในขณะนั้น ตามความเป็นจริงของธรรม ถ้าเป็นขณะอื่น ที่นอกเหนือจากนี้ที่มีเหตุให้สภาพธรรมฝ่ายดี มี สติ เป็นต้น เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเป็นไป แต่ไม่ใช่ชาติกุศล ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ