ความหมายของ เหตุใกล้ เหตุไกล

 
natural
วันที่  4 ก.ค. 2556
หมายเลข  23126
อ่าน  5,938

ขอเรียนถามความหมายของคำว่า เหตุใกล้ เหตุไกล ในบทสวดพุทธคุณช่วงหนึ่งว่า ...เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง... และมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ อย่างไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนคำว่า เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง ข้อความก่อนหน้านี้ คือ

จากข้อความสรรเสริญพระพุทธคุณนั้น ซึ่งก็จะต้องพิจารณา ข้อความก่อนหน้านี้

พร้อมเบญจพิธจัก ษุ จรัสวิมลใส ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้า ทรงถึงพร้อมจักษุ ห้า

ประการ จึงต่อด้วยประโยคที่ว่า เห็นเหตุที่ใกล้ไกล....

แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยจักษุ ห้า อันประกอบด้วย

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 214

ปัญญาจักษุมี ๕ อย่าง คือ พุทธจักษุ ๑, สมันตจักษุ ๑, ญาณจักษุ ๑,

ทิพยจักษุ ๑, ธรรมจักษุ ๑.

คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเมื่อตรวจดูสัตวโลก ได้เห็นแล้วแลด้วยพุทธจักษุ ดังนี้ ชื่อว่า พุทธจักษุ. คำนี้ว่า สัพพัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ ดังนี้ ชื่อว่าสมันตจักษุ. คำนี้ว่า ดวงตาเห็นธรรม เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ชื่อว่า ญาณจักษุ. คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ เราได้เห็นแล้วแล ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ดังนี้ ชื่อว่า ทิพยจักษุ. มรรคญาณเบื้องต่ำ ๓ นี้มาในคำว่า ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ไม่มีมลทิน เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ ชื่อว่า ธรรมจักษุ.

-----------------------------------------------------------

ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วย จักษุ ห้าประการ ที่เป็น จักษุ คือ ปัญญา

จึงต่อมาที่ประโยคที่ว่า เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง

คือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วย ตาปัญญา ห้าประการ โดยเฉพาะ สมันตจักษุ

อันมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น จักษุอย่างอื่น สาวกก็มี เช่น ทิพยจักษุ ธรรมจักษุ แต่

สมันตจักษุ คือ สัพพัญญุตญาณ มีเฉพาะพระพุทธเจ้า อันเป็นปัญญาที่รู้ทุกสิ่งทุก

อย่างทั้งในสมมติของชาวโลกและ ปรมัตถ์ ทุกๆ สิ่งทั้งในอดีต อนาคต มีแต่พระ

พุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้อันเป็นปัญญาที่รู้ไม่สิ้นสุด รู้ถึงเหตุและผล สมดังคำสรรเสริญที่ผู้

ถาม ถามคือ เห็นเหตุที่ใกล้ไกล คือ ปัญญาจักษุ ที่เป็น สมันตจักษุ คือ สัพพัญญุต

ญาน ย่อมเห็นเหตุของสภาพธรรมทั้งที่กำลังปรากฎในขณะนี้ ก็ชื่อว่า เห็นเหตุที่อยู่

ใกล้ และ ทรงตรัสรู้สภาพธรรมแต่ละอย่างว่ามีเหตุใกล้ คือ เหตุที่ทำให้เกิดด้วยสภาพ

ธรรมอะไร ด้วยปัจจัยอะไรอย่างละเอียดลึกซึ้ง นี่คือ ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงเหตุ

ที่ใกล้ อันเป็นปัจจัยให้เกิดสภาพธรรมในขณะนี้ และ ทรงเห็นเหตุที่ไกล คือ สภาพ

ธรรมที่ดับไปนานแล้ว ทรงระลึกชาติได้และทรงรู้ความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมที่ดับ

ไปนานแล้ว และ สภาพธรรมที่ยังมาไม่ถึงอีกนานแสนนานที่ยังไม่ได้เกิด ด้วยพระ

ปัญญาที่เป็น ตา คือ สมันตจักษุ จึงทรงชื่อว่าเห็นเหตุที่ไกล รวมความว่าเห็นเหตุ

ที่ใกล้และเห็นเหตุที่ไกล ด้วยพระปัญญาที่เป็นตาคือ ปัญญา ครับ

ก็เจนจบประจักษ์จริง คือ พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยประปัญญาในสภาพธรรมทุกอย่าง

ด้วยพระปัญญาที่มีความชำนาญ เจนจบ อย่างคล่องแคล่ว ด้วย สมันตจักษุ และ

ประจักษ์จริง ไม่ใช่ด้วยการคิดเอง แต่ประจักษ์จริงในขณะที่สภาพธรรมที่กำลังเกิด

และแม้ดับไปนานแล้ว ด้วยพระปัญญา ครับ นี่คือ ความหมายตามที่ผู้ถามได้ถามไว้

ในพระพุทธคุณ

ซึ่งพระคุณของพระพุทธเจ้านั้น หากจะกล่าวพรรณา แม้พระพุทธเจ้าด้วยกันที่รู้

พระคุณของพระองค์ ก็ไม่สามารถพรรณาได้จบ แม้เวลา หนึ่งกัปที่นานมาก ก็ต้อง

หมดไป พระคุณของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่หมดสิ้น ส่วนปุถุชน ก็เพียงรู้พระคุณเพียง

เล็กน้อย กล่าวสรรเสริญกัน เปรียบเหมือน น้ำที่อยู่ในรูเข็ม กับ น้ำในมหาสมุทร การ

ที่เรากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า เพียงน้ำที่อยู่ในรูเข็ม แต่พระคุณของ

พระพุทธเจ้าดั่งเช่น มหาสมุทร สุดจะประมาณ

การจะรู้จักพระคุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง ก็ด้วยการศึกษาพระธรรม

ในหนทางที่ถูกต้อง ย่อมจะเกิด จักษุ คือ ปัญญาที่เห็นถูก เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็รู้

ในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้มากขึ้น ก็ย่อมซาบซึ้งในพระคุณ เพราะเกิดตา คือ ปัญญา

เห็นดั่งเช่น พระองค์เห็นครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natural
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
daris
วันที่ 5 ก.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 6 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ไม่มีใครที่จะเสมอเหมือนกับพระองค์ได้เลย การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมากเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่า ในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประมวลแล้วสรุปรวมลงใน ๓ ประการ คือ

พระบริสุทธิคุณ (ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ)

พระปัญญาคุณ (ทรงมีพระปัญญาที่รู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง)

พระมหากรุณาคุณ (ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตาเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการแสดงพระธรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวง)

บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงมีการฟัง มีการศึกษา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อศึกษาเข้าใจความจริงแล้ว ย่อมจะมีความซาบซึ้งมากขึ้นในพระคุณของพระพุทธองค์ ทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ ตามปัญญาของตนเอง ผู้ที่ขาดการฟัง ขาดการศึกษา ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะฉะนั้นแล้ว ก็เป็นโอกาสที่ดียิ่งในชีวิต ที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่หาฟังได้ยาก เพื่อประโยชน์จริงๆ คือ ความใจถูกเห็นถูกในธรรมตามที่พระองค์ทรงแสดง สิ่งที่มีจริงๆ ที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ก็เพียงพอแก่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตามกำลังปัญญาของแต่ละคน ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 6 ก.ค. 2556

พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู รู้ทุกอย่าง ทั้งเหตุไกล และ เหตุใกล้ ไม่มีอะไรที่พระพุทธเจ้า

ไม่รู้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nongnooch
วันที่ 8 ก.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
papon
วันที่ 10 ก.ค. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ