ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  26 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23092
อ่าน  2,547

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอส่งงานถอดคำบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บ้านธัมมะ - วิดีโอคลิป - ประเด็นธรรม-๐๑๓๕๙

คุณกุลวิไล เรื่องแรก จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เรื่อง ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงค่ะ

ท่านอาจารย์สุจินต์ การบูชาอย่างสูงสุด ต่อพระรัตนตรัย คือ การเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง เช่น คำที่คุณกุลวิไลถามถึง คือ ขันธ์ ๕ บางคนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน เพราะว่า ยังไม่เคยไปวัดวาอาราม แต่คนที่คุ้นหูกับคำว่าขันธ์ ๕ ก็มี แต่ว่า ความเข้าใจทีลึกซึ้งกว่านั้นจะทำให้เห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะทำให้การบูชาคุณของพระองค์ สูงยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น พุทธประสงค์ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้สภาพธัมมะที่มีจริง ด้วยพระองค์เอง เป็นพระมหากรุณา แสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ให้คนอื่นได้เข้าใจ เป็นคำในภาษามคธ ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา ซึ่งแต่ละภาษาที่ไม่ได้ใช้ภาษานั้น ก็ใช้ภาษาของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าใจธัมมะที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้คะว่า พระธรรมที่ทรงแสดง มาจาก การตรัสรู้ ความจริง ของ สิ่งที่มีจริง ทุกขณะ ด้วยคำต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ในภาษาของแต่ละชนชาติ

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ที่ได้ฟังเรื่องของพระสูตร และได้ฟังคำถาม เรื่องขันธ์ ๕ การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริง แต่ว่า รู้อะไร ต้องรู้ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ มี สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ธัมมะ ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ ความจริง ที่มีอยู่ ทุกกาละสมัย เมื่อได้ฟังพระธรรม ไม่ว่าจะในสมัยใดก็ตาม มีสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่เป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะว่า ก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ซึ่งหมายความถึง คุณความดีมากมายมหาศาล เพื่อที่จะไม่ให้ จิตเศร้าหมอง เป็นไปกับอกุศล ที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันได้ ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือ ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ แต่ละคำ ที่ได้ยิน ให้ถูกต้อง ชัดเจน ไม่ใช่ให้คิดเอง แล้วก็เข้าใจผิดไป

เพราะฉะนั้น การศึกษาด้วยความเคารพ คือ ให้ทราบ ขณะนี้นะคะ มีธัมมะ ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงความจริง ตั้งแต่คำว่า "ขันธ์" แล้วก็แสดงจำนวนไว้ด้วย ขันธ์ ๕ เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ เดี๋ยวนี้มีไหม ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน ถ้าเดี๋ยวนี้ ไม่มี พระธรรมเป็นโมฆะไม่ทำให้ใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ แต่ด้วยเหตุที่ สิ่งที่มีจริง นี้แหละ เป็น สิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้

เพราะฉะนั้น เวลาที่ ฟังพระธรรมแล้ว คือ ไม่เผิน พระธรรมทั้งหมดค่ะ เพื่อละ คิดไหมคะ ว่ายากหรือง่าย ละอะไร ทำไมต้องละ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ต้องละไหมคะ ถ้าเป็นสิ่งที่มีโทษ ควรละไหม ก็ควรละ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ สิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ปรากฏในชีวิต ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ควรละความไม่รู้ด้วยการศึกษาให้เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดง ขันธ์ ๕ โดยชื่อ ก็คือ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ ไม่ใช่ให้จำ แต่ให้เริ่มเข้าใจ แม้แต่ความหมายของคำว่า ขันธ์ ขันธะ ต้องมีจริง เมื่อเกิดขึ้นปรากฏ ว่ามีจริงๆ สิ่งใดก็ตามที่มีจริง ทั้งหมดนะคะ เป็น ขันธ์ เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่ได้ยั่งยืนเลย ด้วยเหตุนี้ ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา ทุกคนไม่ปฏิเสธ กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ในขณะนี้

การฟังพระธรรม ฟังเพื่อเข้าใจ ธัมมะที่กำลังมีจริงๆ ให้รู้ว่า ความจริงของสิ่งนี้ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดแล้ว ปรากฏ เมื่อมีธาตุที่กำลังเห็นสิ่งนั้น จึงปรากฏว่า สิ่งนั้น มีจริงๆ เป็นคำที่ยาวมาก แต่ว่าคิดไม่ถึงว่า ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็คือ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง "สิ่งที่มีจริง" จะใช้คำว่า "ธัมมะ" หรือจะใช้คำว่า "ธาตุ" ก็ได้ และ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป นี่คือความหมายของขันธ์ ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้เกิด ไม่มี ไม่ปรากฏ แต่กล่าวถึง สิ่งที่ปรากฏ เพราะเกิดขึ้น มีลักษณะเฉพาะ เพราะแต่ละอย่างๆ ซึ่งต่างกันไป ไม่ซ้ำกันเลย สักอย่างเดียวแม้แต่ เสียงที่กำลังปรากฏ หนึ่งเสียงปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นได้ยิน จิตก็ไม่ใช่เสียง เมื่อจิตได้ยินเสียงเกิดขึ้น จิตได้ยินก็ดับไป แล้วเสียงก็ไม่ยั่งยืนเลย ทุกคนก็รู้ว่า ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ขณะใดที่เสียงยังไม่เกิด มีเสียงไหม

ไม่มี แล้วเสียงที่เกิดแล้วปรากฏ ยังอยู่หรือเปล่า หายไปแล้ว หายไปไม่กลับมาอีก ในสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าขันธ์ คำเดียว ขันธะ ก็หมายความถึง สิ่งที่เกิด มีปัจจัย เกิดขึ้น แล้วดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะ ก็เป็นอย่างนี้ แต่จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และได้ทรงตรัสรู้ ความจริง ก็แสดง ความจริง ของทุกอย่างที่มี ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลย มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น จะเหมือนกับ สิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่ละอย่างที่เกิดขึ้น เป็นหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องเกิดแน่นอน เพราะปรากฏว่า มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก้ดับไป ทั้งหมดเป็นขันธ์ สภาพธัมมะที่มีจริง ที่เกิดดับ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ขณะนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า

ฟังธัมมะ เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปไม่มี แล้วก็ไปคิดถึง ให้เข้าใจ แต่ในเมื่อ สิ่งนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วก็ได้ฟังความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็เริ่มที่จะเข้าใจความจริง ว่า สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง จนกระทั่งคนที่ได้เข้าใจธัมมะ สามารถที่จะรู้แจ้งความจริงนี้ได้

เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่รู้เลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ ก็เริ่มที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็น สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพื่อให้คนที่กำลังฟังในขณะนี้ รู้ตาม ไม่ใช่คิดเอง แต่รู้ตาม แม้แต่เพียงการเริ่มที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว ในบรรดาธัมมะทั้งหมด ในบรรดาขันธ์ทั้งหลาย มีสิ่งนี้สิ่งเดียว ที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ก็ลองคิดดู แต่ละคำเป็นความจริงไหม เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ได้มีเหตุอยู่ตลอดเวลา แม้ ธาตุรู้ คือ จิตที่เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง มีปัจจัยที่จะเกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา เพราะความไม่รู้ จีงมีความติดข้อง คือ โลภะ ความพอใจ ในสิ่งที่ปรากฏ เพียงปรากฏให้เห็น ให้ติดข้อง แล้วก็หมดไป ได้ยินเสียง ชอบเสียงไหม เสียงหมดแล้ว ชอบแล้วมีประโยชน์อะไรกับ สิ่งที่เพียงปรากฏ ให้ชอบ ให้พอใจ ติดข้อง แล้วเสียงนั้น ก็หายไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะเป็นอย่างนี้

เพราะเหตุว่า แม้แต่คำว่า "สังสารวัฏฏ์" ก็หมายความถึง สภาพธัมมะ ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ เป็นไป ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น การฟังธัมมะ ก็คือว่า ให้ทราบว่า ฟังเมื่อไหร่ คือ เริ่มเข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่มีในขณะนี้ จนกว่าเริ่มเข้าใจ แต่ละคำ เช่น คำว่า "ขันธ์" หมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดแล้วก็ดับ แต่มีปัจจัยเกิด มิฉะนั้น ก็เกิดไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ดับก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ ธัมมะก็เป็นอย่างนี้ แต่ละขันธ์ แต่ละขันธ์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่ทรงแสดง มาจาก การตรัสรู้ ความจริง ของ สิ่งที่มีจริง ทุกขณะ ด้วยคำต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ในภาษาของแต่ละชนชาติ

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ ใหญ่ราชบุรี ด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nongnooch
วันที่ 27 มิ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 25 ส.ค. 2560

กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้พระธรรมและแสดงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณกุศลจิตธรรมทานด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 10 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
sanit99141@gmail.com
วันที่ 15 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jarunee.A
วันที่ 20 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ