การอาลัย-อาวรณ์ จนสิ้นใจตาย ทำไมได้บุญมหาศาล
สมัยพระพุทธเจ้าพุทธโคดมของเรา ตอนที่ช้างปาลิไลย กับพญาลิง เข้ามา ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าในป่า พอพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับ ช้างปาลิไล ก็สิ้นลมทันที ด้วยความอาลัยห่วงหาว่าคงไม่ได้พบพระพุทธเจ้าพุทธโคดมอีก พอครั้นสิ้นลมก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์
อีกครั้งหนึ่ง สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าบิณฑบาตร ก็จะมีสุนัขคอยตามเห่า ตามหวง แต่พอพระปักเจกฯ ท่านเหาะขึ้นไปบนภูเขาที่อยู่ของท่าน ด้วยความอาลัยห่วงหา สุนัขตัวนั้นก็สิ้นลมขาดใจทันที ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ มีนางฟ้าพันหนึ่ง เวลาพูดก็จะมีเสียงดังกังวาล ยาวไกลมาก พอสิ้นจากเทวดา ก็ลงมาเป็นพระราชา บนโลกอีก
ผมเลยไม่เข้าใจว่า ความอาลัยอาวรณ์ ก่อนสิ้นใจจากไปของคนที่เรารัก และศรัทธา ทำไมไม่เป็นโทษ แต่กลับเป็นบุญกุศลแรงกล้า ทั้งที่เขาไม่ได้ทำบุญทำทาน สร้าง วัดสร้างวา ถวายทานต่างๆ แต่กลับได้บุญกุศลพอๆ กับที่มนุษย์ทำ แบบนี้ถ้าเราอาลัยอาวร จากการจากไปของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทางพุทธ ที่เราเคารพศรัทธา จนเราขาดใจตาย เราจะไปเกิดบนสวรรค์ เหมือนดั่ง 2 สัตว์ ที่ กล่าวมาแล้วไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง เพราะเป็นความละเอียดของจิตแต่ละขณะที่เกิดดับอย่างรวดเร็วระหว่างกุศลและอกุศล สำหรับการได้เกิดในสุคติภูมิ มีเทวดาและมนุษย์ เป็นต้น เกิดจากผลของกรรมที่เป็นกรรมดี คือ กุศลกรรม ที่ได้ทำมาในอดีตชาติ หรือในปัจจุบัน เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดในสุคติ ส่วนอกุศลกรรม อกุศลจิตที่เกิดขึ้น ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในสุคติภูมิได้เลย แต่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดในทุคติภูมิ มีนรก เป็นต้น ซึ่งจากตัวอย่างที่ผู้ถามยกมานั้น การที่ช้างได้เกิดในสุคติภูมิ ก็จะต้องมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมว่า การเกิดในสุคติภูมิ เกิดจากกุศลกรรมที่ได้ทำมาให้ ผล ไม่ได้เกิดจากอกุศลกรรมและอกุศลจิต เพราะฉะนั้น ความห่วงใยห่วงหาอาวรณ์ เป็นอกุศลจิตที่เป็นโทสะ โทสะไม่สามารถที่จะให้ผลเกิดในภพภูมิที่ดีได้เลย แต่ เพราะความเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของจิต ที่เพียง 1 วินาที จิตเกิดดับ เป็น ล้านๆ ครั้ง เกิดกุศลจิต อกุศลจิตมากมาย สลับกันไป เพราะฉะนั้น แม้จะอาลัย อาวรณ์ด้วยอกุศลจิต แต่ ชวนจิต 5 ขณะสุดท้ายของช้างก่อนตายเป็นกุศลจิต อันเกิดจากกรรมใดกรรมหนึ่งที่เป็นกุศลกรรมให้ผล ทำให้เกิดในสวรรค์ ครับ นี่เพราะความเกิดดับอย่างรวดเร็วของจิต เกิดกุศลจิต ในขณะจะตายได้ ทำให้เกิด ในสุคติภูมิ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก เรื่อง ช้างปาริเลยยกะ ที่อุปัฏฐาก พระพุทธเจ้า มีว่า พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 90 ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า "ปาริเลยยกะ นี้ความไปไม่กลับของเรา ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มีแก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่ เถิด" พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้วได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลังๆ . ก็พระยาช้างนั้น เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต. ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า "ปาริเลยยกะ จำเดิมแต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียนอยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่ เถิด" ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อพระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก. ทำกาละแล้ว เกิดในท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพ ดาวดึงส์ เพราะความเลื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า "ปาริเลยยกเทพบุตร." ---------------------------------------------------- จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงให้เห็นว่า แม้ช้างจะเสียใจจนตาย แต่ก่อนตาย ก็กุศลกรรมให้ผล เพราะอาศัยการเกิดกุศลจิตที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ทำให้เกิดใน สุคติภูมิได้ เพราะชวนจิตสุดท้าย เป็นกุศล เพราะ ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ครับ
โดยนัยเดียวกัน สุนัขที่มีความผูกพัน กับ พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อรู้ว่า จะต้องไม่ได้เจอพระองค์อีก ก็เสียใจ และตายในที่นั้น หากมองเป็นเหตุการณ์รวมๆ เป็น เรื่องราว ก็คิดว่า ตายเพราะเสียใจ ก็น่าจะไปอบายภูมิ ไป ทุคติภูมิ แต่ตามที่กล่าว แล้ว จิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว กุศลจิต สามารถเกิด หลังจากที่เสียใจได้ ใน ชวนจิตสุดท้าย 5 ขณะก่อนตาย ที่เรียกว่า มรณาสันวิถี เกิดกุศลจิต ทำให้กรรมที่ เป็นกุศลกรรม กรรมใด กรรมหนึ่งให้ผล ทำให้เกิดเป็นเทวดาครับ
เพราะฉะนั้น การพิจารณาธรรมจะต้องพิจารณาเป็นทีละขณะจิต เพราะชีวิตที่แท้จริง คือ ดำรงอยู่ เพียงขณะจิตเดียว และ เป็นชีวิตที่เป็นการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกแต่ละขณะ ครับ อย่างเราฟังธรรม ถ้ามีคนบอกว่า คนนี้ไปฟังธรรม ก็คงคิดว่าดี เพราะฟังธรรมเป็น สิ่งที่ดี แต่ ขณะที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ขณะนั้น เป็นความไม่รู้ เป็นอกุศล จะกล่าวว่าดี ไม่ได้เลย แต่ก็มีบางขณะที่เข้าใจ ก็เป็นกุศลจิตในขณะนั้น เพราะฉะนั้น แม้แต่การฟังธรรม ก็มีการเกิดดับของจิตอย่างรวดเร็ว เป็นกุศล เป็นอกุศลบ้างเป็นธรรมดา ฉันใด ก่อนที่จะสิ้นชีวิต ก่อนหน้านั้นก็มีจิตเกิดดับอย่างรวดเร็วเช่นกัน เป็นอกุศล บ้าง สลับ กับ กุศลโดยไม่รู้เลย นอกจากปัญญาจะเกิดในขณะนั้น เพราะฉะนั้นแม้ จะเสียใจ แต่ ชวนจิตสุดท้าย ก็เป็นกุศลได้ ครับ นี่ แสดงถึงความเป็นอนัตตา บังคับ บัญชาไม่ได้ ของสภาพธรรม เพราะ ไม่มีใครรู้เลย ว่า กุศลจิต อกุศลจิตจะเกิดก่อน ตายอย่างไร และ จะไปภพภูมิใด ตามกรรมที่ทำมา เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็น ของๆ ตน สำคัญ คือ ในปัจจุบัน เป็นผู้ไม่ประมาทที่จะเจริญกุศลทุกๆ ประการ อบรมปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ และเนืองนิตย์ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผูู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะเหตุสะสมเหตุที่ดีมาแล้ว จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้นทำกุศลกรรม แม้ในขณะที่ได้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และเมื่อถึงคราวที่กุศลกรรมให้ผล ก็ย่อมให้เกิดในภพภูมิที่ดี เป็นสุคติภูมิ เป็นไปตามควรแก่เหตุ โดยที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแแล้ว ผลจึงเกิดขึ้นเป็นไปได้
จากตัวอย่างที่ได้ยกมาในคำถามนั้น ก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับทุกคนที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในการที่จะได้สะสมกุศล ความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของกุศลประการใด ก็ตาม มี การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อนต่อผู้อื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นความดีที่สามารถเกิดขึ้นเป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน กุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้ ส่วนอกุศลธรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิตเกิดดับ สลับกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่เศร้าโศกเสียใจ เป็นอกุศล แต่ยังไม่ใช่ขณะจิตสุดท้ายก่อนตาย แต่ขณะก่อนตาย จิตเป็นกุศล จึงเกิดในสวรรค์ ค่ะ





