จิตก็เกิดดับ กายก็เกิดดับ

 
pheejad
วันที่  12 เม.ย. 2556
หมายเลข  22751
อ่าน  1,675

เคยฟังธรรมะ ว่าจิตมีการเกิดดับตลอดเวลา กายก็มีการเกิดดับตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นจิตเราวันนี้ก็ไม่ใช่จิตเราเมื่อวานนี้ กายเราก็ไม่ใช่กายเราเมื่อวานนี้ เราวันนี้ ก็ไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อวานนี้ใช่มั้ยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 13 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ มีจริงในขณะนี้ ไม่ปราศจากธรรมเลย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ซึ่งไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้) และที่มีการบัญญัติเรียกว่า เป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เป็นตัวเรา ที่ไม่ใช่คนอื่น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม นั่นเอง

สภาพธรรม ใหม่อยู่เสมอจริงๆ เพราะสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเท่านั้น ไม่มีเราที่แทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นๆ เลย แต่เพราะยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง จึงมีการยึดถือว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา

จากประเด็นคำถาม ควรที่จะได้เข้าใจว่า สภาพธรรมเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทั้งจิต (รวมถึงเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย) และ รูปธรรม ซึ่งท่านผู้ถามใช้คำว่า กาย ก็คือสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลย ใหม่เสมอ ขณะนี้ ไม่ใช่ขณะก่อน แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่ใช่เห็นในขณะก่อน เป็นต้น

จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และทีละขณะด้วย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีจิตเกิดพร้อมกันสองสามขณะ และจิตเป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่มีจิตแม้แต่ขณะเดียวที่เกิดแล้วไม่ดับ เกิดแล้วต้องดับไปเป็นธรรมดา ทั้งนั้น

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริง ทำให้เข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นว่าทุกขณะมีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ได้เลยทีเดียว และหนทางที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ดับกิเลส จนกระทั่งไม่มีจิต ตลอดจนถึงสภาพธรรมอื่นๆ เกิดอีกเลย ก็คือการอบรมเจริญปัญญา ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 13 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาที่สภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง คือ จิต เจตสิกและรูป เมื่อเกิดขึ้น และก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น ก็ต้องเกิดขึ้น และ ดับไปซึ่ง จิต เจตสิก มีอายุไม่เท่ากับรูป รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งจะเห็นความเกิดและ เสื่อมไปของนามธรรมด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียงตาเปล่า โดยนัยเดียวกัน รูปธรรมที่สมมติว่า เป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นถาด ก็มีการเกิดขึ้นและดับไปของรูปธรรม เกิด และ ดับ อยู่ตลอดเวลา แต่เพราะการเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถเห็นความเสื่อมไป บุบสลายไป ได้เพียงระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนาน และ การจะเห็นความเสื่อมไปของรูป เช่น แตกหัก บุบสลาย ก็จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น อุตุ สภาพอากาศ ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม แม้จะเกิดขึ้นและดับไป แต่สิ่งเหล่านั้น จะปรากฎความเสื่อม แตกหัก ก็ไม่เท่ากัน

หากว่าเคยได้เข้าใจในส่วนของทางโลก สิ่งของวัตถุเดียวกัน แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน การเสื่อมสลายก็จะปรากฎในระยะเวลาที่ไม่เท่ากันด้วย อย่างเช่น สถานที่หนึ่ง ที่เป็น เจดีย์ ภูเขา เป็นต้น หากถูกไฟเผา คือ อุตุ ในสภาพที่ร้อนจัด ก็ทำให้เกิดความแตกสลายพังทำลายชัดเจน เช่น ที่กรุงศรีอยุธยา เจดีย์ต่างๆ ก็แสดงลักษณะของความเสื่อมทำลายได้ และ สถานที่บางแห่งเป็นลักษณะชื้นมากๆ เพราะอาศัยการกัดเซาะของ น้ำ ก็ทำให้แตกทำลาย ปรากฎความเสื่อมของรูปได้ง่าย ที่เห็นด้วยตาเปล่า ส่วนที่พุกาม มีเจดีย์มากมาย แม้จะผ่านเวลาไปเป็นพันปี แต่เพราะสภาพอากาศ คือ อุตุที่แห้งแล้ง ไม่มีความชื้น เพราะฉะนั้น การเสื่อมทำลายจึงน้อยกว่าในสภาพอากาศบางอย่าง และ ในอวกาศที่เป็นสูญญากาศ ก็เป็นโอกาสของการเสื่อมสลายของรูปที่ปรากฎชัดด้วยตาเปล่า ก็น้อยกว่าสภาพบรรยากาศที่อื่นๆ แต่ในความเป็นจริง รูปก็เกิดขึ้นและดับไปอยู่แล้วเป็นธรรมดา ดังนั้น อุตุ สภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม จึงมีผลต่อความเสื่อมสลายของรูปด้วย ที่สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน อากาศแตกต่างกัน ก็ทำให้การเสื่อมสลายที่ปรากฎทางตาให้เห็นไม่เท่ากัน

ซึ่งสำหรับ ถาดของพระโพธิสัตว์ ในสมัยพระพุทธเจ้า ในกัปนี้ เป็นองค์ที่ ๔ ทั้งหมด มี ๕ พระองค์ในกัปนี้ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ก็ได้อธิษฐาน และ ลอยถาด ทวนกระแสน้ำ และ ถาดนั้นก็อยู่ในพิภพของนาคราช เพราะฉะนั้น ถาดที่อยู่ในภพของนาคราชที่เป็นทิพย์ ไม่ใช่อยู่ในแม่น้ำ แต่เป็นอีกมิติหนึ่ง ที่เป็นที่อยู่ของนาคราชผู้มีฤทธิ์ ย่อมยังไม่เสื่อมสลายไป เพราะอาศัยอุตุเป็นปัจจัย ที่เป็นสภาพอากาศที่ดีในภพของนาคราช แต่หากว่า ถาดอยู่ในแม่น้ำจริงๆ ย่อมจะถูกกัดเซาะจนไม่เหลือมาในสมัยปัจจุบัน เพราะระยะเวลาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็ห่างกันนานมาก ซึ่ง นาคราชเคยเกิดเป็นเณร ทำกุศล และ อธิษฐานที่จะได้หลับเป็นเวลายาวนาน จึงทำให้มีอายุยาวนาน และ โดยมากก็หลับ ครับ ซึ่งถาดอยู่ในภพนาคราช แม้น้ำแห้งหมด ก็มีถาดอยู่ในภพนาคราชอีกมิติหนึ่ง เพราะฉะนั้น ตามที่กล่าวมา ถาดของพระโพธิสัตว์ก็อยู่ในภพของนาคราช ที่อุตุที่ดี สภาพอากาศที่ดี จึงยังอยู่ได้ แต่ก็มีการเกิดขึ้นของรูปอยู่แล้ว เพียงแต่การปรากฎความเสื่อมของรูปที่ปรากฎทางตาย่อมช้าไปตามสภาพอุตุในภพนาคาราช ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
boonpoj
วันที่ 13 เม.ย. 2556

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pheejad
วันที่ 14 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ