ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณฟองจันทร์ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  12 เม.ย. 2556
หมายเลข  22750
อ่าน  2,307

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพุธที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณฟองจันทร์ นันตา (พี่แอ๊ว)

เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ บ้านในซอยปรีดีพนมยงค์ ๑๖ สุขุมวิท ๗๑ คลองตัน กรุงเทพฯ

เพื่ออุทิศกุศลแด่คุณไอแว่น วอลช สามี และ แด่บิดา มารดา ของทั้งสองท่านด้วย

บ้านหลังนี้ พี่แอ๊วเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน อยู่ใกล้ปากซอยมาก เพียงไม่กี่เมตร

เป็นบ้านกลางเมือง ที่สะดวกสบายในการเดินทางมากครับ

และ ความที่พี่แอ๊วเป็นผู้ที่มีศิลปะในการจัดดอกไม้ ในเรื่องความงามและสุขภาพ

จึงจัดบ้านได้ดูร่มรื่นน่าอยู่ แม้จะมีพื้นที่จำกัด ก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่น ผ่อนคลายดีมากครับ

การสนทนาธรรมวันนี้ เริ่มในเวลา ๙.๓๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น

โดยพี่แอ๊ว ได้เตรียมอาหารกลางวันเป็นก๋วยเตี๋ยวทะเลอย่างดี มีเนื้อปูเป็นก้อนๆ อร่อยมาก

เพื่อนๆ สหายธรรมหลายท่านได้นำทั้งอาหารอื่นๆ และ ของหวานมาร่วมเจริญกุศล

หลายอย่างด้วยกัน เท่าที่ทราบก็เช่น ขนมจีนแกงป่าลูกชิ้นปลากราย ของคุณโป๊ด

ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ ของพี่เล็ก (จิราภรณ์) เป็นต้น

นอกจากนั้น พี่แอ๊วยังได้สั่งสาคู - ปากหม้อ มาตั้งเตาทำใหม่ๆ สดๆ ให้รับประทานด้วย

แม่ค้าที่ทำสาคู - ปากหม้อ คุ้นหน้า คุ้นตา ชาวมูลนิธิฯเป็นอย่างดีครับ

ทำสาคู - ปากหม้อได้อร่อยมากจริงๆ ใครมีงานที่ไหน ก็สั่งไปทำกันสดๆ ได้เลยครับ

ราคาไม่แพง แต่รสชาด และ ความสะอาด รวมทั้งเครื่องเคียง ครบรส สดใหม่จริงๆ ครับ

อันดับต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เป็นจุดประสงค์ที่จะนำมาฝากทุกๆ ท่าน

คือ ความการสนทนาธรรม ที่อยากจะกราบเรียนทุกๆ ท่านว่า ประทับใจมากจริงๆ ครับ

แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีโอกาสเข้าร่วมฟังได้เพียงครึ่งวันเช้า เพราะตอนบ่ายติดธุระ

แต่เป็นครึ่งวันของการได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่มีความไพเราะจับใจมาก

ดังจะขออนุญาตนำความบางตอน มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาด้วย ดังนี้ครับ

ท่านจรัล ภักดีธนากุล การที่ได้ฟัง ได้สนทนาธรรมแต่ละครั้ง

เป็นโอกาสพิเศษ โอกาส ที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง

ถึงแม้จะยังไม่ใช่อภิสมัย ที่จะทำให้บรรลุธรรม เห็นธรรม

หลุดพ้น จากอำนาจร้อยรัดของกิเลส ตัณหา และ ความไม่รู้ทั้งหลาย อย่างสิ้นเชิงได้

แต่โอกาสอย่างนี้ ก็จะเป็นการสั่งสม

และ เป็นการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ อภิสมัย เช่นนั้นได้ ในที่สุด

ถ้าเปรียบเทียบกับ เมื่อครั้งที่ไม่เคยได้รู้ ได้ฟัง ได้ยินธรรมะ อันประเสริฐอย่างนี้เลย

ไม่มีทาง ที่จะเข้าไปใกล้ แม้แต่หนึ่งมิลลิเมตร เสี้ยวหนึ่ง ของมิลลิเมตร

ของอภิสมัย เข่นนั้น

กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ อย่างสูงยิ่ง

ในสมัยนี้ ในปัจจุบันนี้ หาเสียงที่แสดงธรรม ที่เป็น ปรโตโฆษะ ของกัลยาณมิตร

ที่สืบทอดมาจาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยากยิ่ง

ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกท่าน

ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ และ ได้บำเพ็ญบารมี

คงไม่รู้ว่า ขณะนี้ บารมี ๑๐ ทั้งนั้น

คือ หนึ่ง ทานบารมี ให้ธรรมเป็นทาน

ไม่ว่าจะเป็น "คำ" ใดๆ ก็ตาม กล่าวกับใครก็ตาม

ถ้าเป็นคำที่ทำให้เขาเกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ขณะนั้น กุศลจิตก็เกิด

ที่จะให้สิ่งที่ดี ยิ่งกว่าวัตถุ

คือ

ให้ความรู้ ความเข้าใจถูก ซึ่งยาก ที่จะเข้าใจได้

และ ศีลบารมี

ในขณะนี้ เราไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครเลย

และ ขณะนั้น ก็เป็นการที่จะทำให้ ไม่ล่วงทุจริตด้วย

เพราะเหตุว่า กำลังฟัง และ กำลังเข้าใจ

เนกขัมมบารมี ทำไมเราฟังธรรมะ?

เพื่อออกจากความติดข้อง

เนกขัมมะ หมายความถึง ออกจากความติดข้อง

เพราะฉะนั้น ที่เราเกิดมา ก็เกิดมา

ที่จะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

ไม่ติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ในเสียงที่ได้ยิน ในกลิ่น ในรส ในโผฐฐัพพะ

เป็นไปไม่ได้

เพราะว่า เกิดมา ด้วยความไม่รู้

และ เมื่อไม่รู้ ก็ติดข้อง ในสิ่งที่พอใจ

เพราะฉะนั้น การฟัง เพื่อละความติดข้อง ออกจากความติดข้อง

ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส

เพราะรู้ว่า ชั่วคราวจริงๆ

ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้จริงๆ

เราอาจจะคิดว่า เรามีทรัพย์สมบัติมาก

เมื่อไหร่?

เดี๋ยวนี้ หรือเปล่า?

เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น ทรัพย์สมบัติอยู่ไหน?

ไม่เห็นปรากฏเลย

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และ คิดนึก

แต่จะห้าม ไม่ให้ติดข้อง ไม่ได้

เพราะว่า เป็นผู้ที่รู้เหตุว่า อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่รู้ ต้องติดข้อง

เพราะฉะนั้น ทางเดียว ที่จะละความติดข้อง

ก็คือว่า

มีปัญญา เห็นจริง ตามความเป็นจริง ว่า

เราเป็นเจ้าของอะไรบ้าง? ตั้งแต่เกิดมา

ไม่มีเลยสักอย่าง

เพราะว่า ทุกอย่าง เกิดแล้วดับ

หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย สักอย่างเดียว

แต่ว่า สืบต่อมา จนกระทั่งปรากฏว่า เหมือนไม่ดับเลย

ปัญญา สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ เท่านั้น ที่จะติดตามไปได้

ในขณะที่ ทรัพย์สมบัติใดๆ ก็ติดตามไปไม่ได้

เกียรติยศ จริงๆ

"ยศ" ต้องเป็น คุณความดี

ถ้าใครก็ตาม ที่ติดข้อง ในเกียรติยศ แต่ไม่มีเกียรติยศ แต่ติดข้อง ในเกียรติยศ

ใครจะนับถือ?

เป็นไปไม่ได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ถ้าไม่มีคุณความดี ใครนับถือ?

ก็ไม่มีใครเลย

เพราะฉะนั้น แม้แต่การกราบไหว้ แต่ละครั้ง

เราก็จะรู้ได้ว่า ตามขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือว่า เพราะอยากจะได้

หรือว่า เพราะกลัว?

หรือว่า เพราะความจริงใจ ที่นับถือ ในคุณความดีของบุคคลนั้นๆ

คือ นับถือ ในคุณความดี นั่นเอง

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ ร่างกายของเรา ตั้งแต่เกิดมา

จากโลกนี้ไปแล้ว เป็นของใคร?

ตา ของเราหรือ? เดี๋ยวนี้

ไม่ใช่

ไม่ว่า คิ้ว จมูก ปาก แขน ขา ผม ทุกสิ่งทุกอย่าง

ไม่ใช่ของเราเลย

แต่ ตราบใด ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต เป็นที่อาศัยเกิดของจิต

เพราะจิต ต้องเกิดที่รูป

รูปนี้ ก็เคลื่อนไหว เป็นไปตามจิต

ถ้าจิตดี กาย วาจา ดี

ถ้าจิตไม่ดี กาย วาจา ก็ไม่ดี

แต่...ของเรา จริงๆ หรือ?

จิต เกิด ดับ รูป ก็เกิด ดับ

เพราะฉะนั้น กว่าจะได้มีความเข้าใจ ที่จะละคลายความติดข้อง

ในสิ่งซึ่งเราติดข้องมานาน

ก็ด้วย "ปัญญา"

เพราะฉะนั้น ทั้งหมด นอกจาก ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี

"ปัญญาบารมี"

ถ้าไม่มี ก็ไม่มีทาง ไปเกิดอีก เป็นใครก็ไม่รู้

หูหนวก ตาบอด แขนขาพิการ ได้หมด

เพราะเราเห็นแล้ว ว่าไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจาก "กรรม"

ทำได้ทุกอย่าง ให้เกิดเป็นอะไรก็ได้ รูปร่างอย่างไรก็ได้

เกิดมาแล้ว เป็นอย่างไรต่อไป ก็แล้วแต่ผลของกรรม ที่ประมวลมา

ที่สามารถจะให้ผลได้ ในชาติที่กรรม ประเภทนั้นๆ

สามารถให้จิตประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น

ต้องอาศัย ความเพียรอย่างยิ่งไหม?

วิริยะ บารมี

ใครชวนไปทำอะไร ให้รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม แต่ไม่ใช่ความเข้าใจ อะไรๆ ทั้งสิ้น

จะถูก ได้อย่างไร?

มีแต่ "ชื่อ" ซึ่งพูด เพราะความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ มีวิริยะ อย่างยิ่ง

เราจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้

แต่ ความเข้าใจธรรมะ ที่มีอยู่ ไม่มีใครสามารถที่จะเอาไปได้ จากจิต ที่สะสมแล้ว

เพราะฉะนั้น ก็มีอยู่ในจิต

พร้อมที่มีโอกาส เมื่อฟังแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกได้

วิริยะนี้ ก็ต้องเป็นวิริยะที่เป็นไปกับสัจจะ ความจริงใจ

ความถูกต้องด้วย

ตรงต่อธรรมะ

ไม่รู้ คือ ไม่รู้

รู้ คือ รู้

เข้าใจ คือ เข้าใจ

เข้าใจน้อยมาก เปลี่ยนแปลงไม่ได้

เพราะ

ทุกอย่าง ต้องตรง ต่อความเป็นจริง

ต้องอาศัย กาลเวลา ที่นาน แสนนาน ไหม?

"ขันติ" โดยไม่หวังผล

สภาพธรรมะ ขณะนี้ กำลังเกิด ดับ

ใครจะไปรู้ได้?

นอกจาก "ปัญญา"

และ ปัญญา ระดับไหน?

ปัญญา ที่ได้อบรมแล้ว

จะอบรมได้อย่างไร? ถ้าไม่มีความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ ก็ต้องมาจาก การได้ยิน ได้ฟัง

และ การไตร่ตรอง

จนกระทั่ง เป็นปัญญาของตนเอง

"ขันติ" ก็คือว่า

ทุกชาติ "อดทน"

แล้วเรา จะเห็นความละเอียดได้ว่า เราอดทนจริงๆ มากน้อย แค่ไหน?

อดทน ที่จะทำดี

ทุกขณะ ที่มีโอกาส หรือเปล่า?

เห็นไหม? แค่นี้ก็ละเลยแล้ว

วิริยะ ก็ไม่มี สัจจะ ก็ไม่มี ขันติ ก็ไม่มี

แต่ถ้าโอกาสไหน ที่กุศลจิตจะเกิด เกิดเลย

แต่ก่อนนี้ อาจจะผัดผ่อน

โน่นก็ไม่เป็นไร คนโน้นก็ได้ทำ เราไม่ต้องทำก็ได้

แต่ไม่คิดเลย ว่าขณะนั้น อกุศล กำลังสะสมเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้

เราจะเป็นคนที่ ทำกุศล ทุกโอกาส

น่ารักขึ้นไหม?

ทุกคนก็จะเห็น

คนนี้ ทำกุศลทั้งนั้นเลย แล้วก็ ไม่เห็นแก่ตัว

แล้วก็ ทุกอย่าง ที่ปัญญาในขณะนั้น

เกิด และ เห็นประโยชน์

เพราะฉะนั้น อย่างที่ตอนต้น ที่คุณจรัล ถามถึง

ชีวิตของคนธรรมดา ทำงาน ทำการ ก็จะต้องเป็นไป

แต่ เปลี่ยนไปจากเดิม

ด้วยความไม่รู้ มาสู่การที่ ปัญญานำทาง

ไม่ว่าจะเป็นกิจการใด อาชีพใด หน้าที่ใด

นำทาง ด้วยปัญญา

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
นิรมิต
วันที่ 13 เม.ย. 2556

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งครับ

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 13 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...ทางเดียว ที่จะละความติดข้อง

ก็คือว่า

มีปัญญา เห็นจริง ตามความเป็นจริง ว่า

เราเป็นเจ้าของอะไรบ้าง? ตั้งแต่เกิดมา

ไม่มีเลยสักอย่าง

เพราะว่า ทุกอย่าง เกิดแล้วดับ

หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย สักอย่างเดียว

แต่ว่า สืบต่อมา จนกระทั่งปรากฏว่า เหมือนไม่ดับเลย

ปัญญา สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ เท่านั้น ที่จะติดตามไปได้

ในขณะที่ ทรัพย์สมบัติใดๆ ก็ติดตามไปไม่ได้...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่แอ๊ว

พร้อมทั้งขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 13 เม.ย. 2556

ขอกราบขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 14 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ch.
วันที่ 14 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rrebs10576
วันที่ 15 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 15 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 16 เม.ย. 2556

บารมี 10 ประการ... กราบท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ขออนุโมทนาในกุศลจิต

ของพี่แอ๊วและครอบครัวค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 16 เม.ย. 2556

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่แอ๊วท่านเจ้าของบ้าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้

รวมทั้งขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 16 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 16 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pannipa.v
วันที่ 16 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pamali
วันที่ 19 เม.ย. 2556
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
แกม
วันที่ 25 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
แกม
วันที่ 25 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
orawan.c
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ