สอบถามผู้รู้ เรื่องอกุศลจิต กับ บาป

 
โปรยปราย
วันที่  25 ก.พ. 2556
หมายเลข  22539
อ่าน  2,102

ตอนนี้เริ่มศึกษาเรื่องจิตและเจตสิกค่ะ อ่านเจอว่า อกุศลเจตสิกเป็นเจตสิกที่เป็นบาปแล้ว อุทธัจจเจตสิก (ความคิดมาก ฟุ้งซ่าน) ก็เป็นหนึ่งในอกุศลเจตสิก เลยมีข้อสงสัยว่า ขณะที่เราฟุ้งซ่าน จึงเป็นบาป ใช่หรือไม่คะ ถ้าใช่ บาปในที่นี้ หมายถึงอะไร และมีความหมายเดียวกับบาปที่เราทำผิดศีล เช่น ฆ่าสัตว์แล้วจะต้องได้รับวิบากจากการกระทำนั้นหรือไม่ถามถูกผิดประการใด หรือสามารถขยายความได้อย่างไร ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ซึ่งเราสามารถเรียกว่าบาปก็ได้ แต่อกุศลมีหลายระดับ บาปจึงมีหลายระดับด้วย บาปที่เพียงเกิดขึ้นในจิตใจแต่ไม่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ก็เป็นเพียงอกุศลจิต ไม่ได้ให้ผลของกรรมที่จะทำให้ตกนรก เป็นต้น แต่อกุศลจิตที่มีกำลังที่ล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา จนครบกรรมบถ เช่น การฆ่าผู้อื่น การลักขโมยของๆ เขา อันนี้เป็นบาปที่จะทำให้ตกนรกได้ ครับ เพราะเป็นอกุศลที่มีกำลัง ที่ล่วงออกมาทางกาย วาจา ส่วนอกุศลธรรม ก็คือ อกุศลจิต ที่จะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งมีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น ความติดข้องเกิดขึ้น เป็นโลภมูลจิตที่มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย และ จะต้องมีโมหเจตสิก และ มีอุทัจจเจตสิกที่เป็นความฟุ้งซ่านเกิดร่วมด้วยกับอกุศลจิตทุกๆ ประเภท ซึ่งขณะใดที่เกิดอกุศล ขณะนั้นมีความฟุ้งซ่าน จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่อกุศลหรือบาปมีหลายระดับตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้น ขณะที่ฟุ้งซ่านเกิดอกุศลจิตในใจ ไม่ได้ล่วงออกมาทางกาย วาจา เช่น กำลังโกรธคนอื่นอยู่ในใจ มีความฟุ้งซ่าน อุทัจจะเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นบาปไหม เป็นบาป แต่เป็นบาปในระดับที่เป็นอกุศลจิตที่ไม่มีกำลัง ไม่ให้ผลเป็นวิบากที่จะต้องได้รับผลของกรรม จึงต่างจากบาปที่เป็นการล่วงศีล เช่น ฆ่าสัตว์ อันนั้นเป็นบาปที่ล่วงออกมาทางกาย วาจา และ สามารถให้ผลเป็นวิบากได้ ครับ

ดังนั้น ขณะที่ฟุ้งซ่าน ที่เป็นอกุศลจิต ที่ไมได้ล่วงออกมาทางกาย วาจา จึงเป็นบาปในระดับที่ไม่มีกำลัง ไม่มีโทษที่จะให้ผลเกิดวิบากดังเช่นบาปที่มีกำลัง มีการล่วงศีล ๕ เป็นต้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
โปรยปราย
วันที่ 25 ก.พ. 2556

อธิบายได้ละเอียดมากค่ะ ขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญคลิกอ่านพระพุทธพจน์นี้ ครับ

บาป - บุญ [คาถธรรมบท] บาป หมายถึง อกุศลธรรมประการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่พ้นไปจากอกุศลจิตและอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แต่โดยกว้างๆ แล้ว มุ่งหมายถึง ขณะที่กระทำอกุศลกรรมบถประการต่างๆ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เรียกว่าเป็นบาป แต่ถ้าเป็นเพียงอกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เช่น ชอบอาหาร ชอบเสื้อผ้า ดูหนัง ดูละคร ขุ่นเคืองใจ น้อยใจ เป็นต้น เป็นเพียงอกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นไป ยังไ่ม่ถึงขั้นที่จะกระทำอกุศลกรรมบถ แต่อกุศลก็ไม่ควรที่จะประมาท ถ้าสะสมมากขึ้นๆ ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน อกุศลแม้เล็กน้อยก็เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์โดยประการทั้งปวง และทุกครั้งที่จิตเป็นอกุศล จะไม่ปราศจาก ความฟุ้งซ่าน ที่เป็นอุจธัจจเจตสิกเลย เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว บาปเป็นนามธรรม คือ อกุศลจิตและอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ประการที่สำคัญ คือ เพราะเหตุว่าเคยสะสมอกุศลมาแล้ว เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นปกติ บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระธรรมคำสอนก็ตาม ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกทั้งสิ้น ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการฟัง ในการศึกษา เมื่อมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลและเห็นคุณค่าของกุศลธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท สะสมบุญกุศล เพื่อขัด เกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าเมื่อกุศลไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญขึ้น ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่นับวันจะพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งเป็นบุญอย่างสูงสุด ทำให้ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ในสภาพธรรมแต่ละอย่างไม่ได้เลย ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 26 ก.พ. 2556

ขณะที่ฟุ้งซ่านเป็นอกุศลจิต เป็นบาป แต่ไม่ได้ล่วงออกมาทางกาย วาจา ไม่เป็นกรรมบถ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
palisa
วันที่ 26 ก.พ. 2556

เรียนอภิธรรมอย่างไรถึงจะเข้าใจง่ายขึ้น เพิ่งเรียน มีความรู้สึกว่าไม่เข้าใจเท่าใดหรือ เพราะไม่ได้ไปเรียนสม่ำเสมอ แต่ก็จะไม่ท้อ จะพยายามไปเรียนเท่าที่ทำได้ ไปเรียนแล้วติดใจในคำสอน เมื่อก่อนไม่รู้เลยว่า เวลาเราเรียนอภิธรรมได้ประโยชน์ ไม่ได้ทำบาป จิตผ่องใส ไม่ได้ไปว่าด่าใครๆ ๆ (เรียนแล้วมีความสุขจริง)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ฐาณิญา
วันที่ 28 ก.พ. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 28 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 28 ก.พ. 2556
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
palisa
วันที่ 4 เม.ย. 2556

ได้ฟังการบรรยายธรรม ของอาจารย์สุจินต์ เวลา 17.00 ทางวิทยุ 1422 และสถานีวิทยุ 945 เวลา 18.00 และ ฟังในอินเทอร์เน็ต อาจารย์สุจินต์บรรยายว่าการไปนั่งสมาธิหรือไปถือศีลอยู่วัดนั้น ต้องศึกษาพระธรรมให้รู้ให้เข้าใจเสียก่อน ตามไปปฏิบัติจะได้อะไร ถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ไปแบบนั้นมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไปต่างจังหวัดแล้ว ฟังธรรมจากอาจารย์สุจินต์ แต่มีบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจ พยายามฟังให้ได้ทุกวัน ดิฉันได้สมัครเรียนอภิธรรมที่มูลนิธิอภิธรรมวัดศรีสุดารามด้วย การดูตัวเราเองทำได้ไม่มากเท่าไหร่ บางครั้งก็ไม่มองคนอื่นเสียบ้าง สติไม่ค่อยอยู่กับตัวเองเท่าไหร่ เป็นคนสมาธิสั้น มีอกุศลจิต ไม่ดี ขอคำแนะนำค่ะ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 4 เม.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 9 ครับ

เป็นธรรมดาของปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลส ที่จะเกิดอกุศลจิต ฟุ้งซ่าน มีสมาธิสั้น เป็นธรรมดา และ ยังหลงลืมสติเป็นปกติ หากว่า เป็นผู้มีสติเกิดบ่อยๆ ไม่หลงลืม อย่างนี้ผิดปกติแน่สำหรับวิสัยของปุถุชน ดังนั้น หนทางที่ถูกก็คือ การศึกษาธรรมฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ในหนทางที่ถูก ปัญญาจะค่อยๆ เจริญทีละน้อย และ ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วน ก็จะเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ตามการสะสมมาอย่างยาวนาน ฟังต่อไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
palisa
วันที่ 5 เม.ย. 2556

ขอขอบพระคุณมาที่นี้ด้วยสำหรับคนที่ตอบปัญหาให้ดิฉัน ความเห็นที่ 9 สาธุคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ