มนุษย์ต้นกัล์ป

 
natre
วันที่  19 ก.พ. 2556
หมายเลข  22509
อ่าน  2,691

มนุษย์ต้นกัลป์ผุดเกิดขึ้นจากอะไรครับ (จุติจากไหน)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงรู้ พระองค์รู้ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกด้วยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ดังนั้น จึงน่าพิจารณาว่า จะเชื่อใครดี ระหว่างผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงกับผู้ที่ไม่ได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง? ซึ่งบุคคลประเภทหลังนี้มีการแสดงความคิดเห็นไปตามศาสตร์หรือสาขาวิชาที่ตนเองได้เรียนมา แต่ไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นธรรมดาที่เมื่อมีความเห็นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงย่อมมีความเห็นแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่ได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

จากหลักฐานทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น แสดงถึงกำเนิดมนุษย์ต้นกัปป์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น เป็นโอปปาติกกำเนิดซึ่งมาจากอาภัสสรพรหม ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากลิงแต่ประการใด เพราะการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นไปด้วยผลของอกุศลกรรม ส่วนการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็ต้องอาศัย การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ประโยชน์จริงๆ คือ เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร เป็นสัตว์ในภพภูมิใด แท้ที่จริงแล้ว ก็มีแต่ความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

การกำเนิดโลก และมนุษย์ต้นกัปป์ [อัคคัญญสูตร]

ณะนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นด้วยผลของกุศลกรรม และ อยู่ในช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง นี้แหละ คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก ก่อนอื่นเราก็จะต้องเข้าใจความคิดของนักวิทยาศาสตร์ ในความหมายของคำว่า วิวัฒนาการ ว่า เข้าใจกันอย่างไร ครับซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวไว้ว่า บรรพบุรุษยุคแรกๆ ของโฮมินิด (ลิงใหญ่และมนุษย์) ออกจากแอฟริกาเข้าสู่ยุโรปและเอเชีย เมื่อประมาณ 17 ล้านปีก่อน ซึ่งต่อมาวิวัฒนาการไปเป็นบรรพบุรุษของลิงใหญ่ ลิงกอริลลา และ ลิงชิมแปนซี และก็มีสายพันธ์หนึ่ง วิวัฒนาการกลายเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เมื่อประมาณ 6 ล้านปีก่อน แม้จะยังไม่ได้ข้อมูลจากฟอสซิล แต่การตรวจสอบทางโมเลกุล (ดีเอ็นเอ) ก็บอกให้เราทราบว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ วิวัฒนาการแยกจากลิงกอริลลาเมื่อประมาณ 8 ล้านปีก่อน และแยกจากลิงชิมแปนซี เมื่อประมาณ 4 ล้านปีก่อน

จึงพอสรุปได้ว่า นักวิทยาศาสตร์สำคัญว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ซึ่งในสัจจะ ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง สิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่มีสัตว์ บุคคล แต่สมมติขึ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป จึงกล่าวว่ามีสิ่งมีชีวิต ที่สมมติว่าเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ดังนั้น กฎสัจจะข้อหนึ่ง คือ สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก เมื่อเกิดขึ้นและก็ต้องดับไป ไม่เหลือเลย และก็เกิดจิตดวงใหม่สืบต่อ เป็นจิตใหม่ที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย ดังนั้นลิงก็คือ จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น จึงสมมติว่าเป็นลิง และจิตของลิงก็ไมใช่จิตของลิงตัวอื่น สะสมมาแตกต่างกันแต่ละหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ที่เรียกว่าต่างจิตต่างใจ และจิตของลิงก็เกิดขึ้นและดับไป ดังนั้น เมื่อหลายล้านปีก่อน ตามสมมติเวลา ลิงตัวหนึ่งก็เกิดขึ้น และตายจากไป อะไรตาย จิตที่เกิดขึ้นและดับไป ตายไป จุติจิตเกิด เคลื่อนจากความเป็นลิง และ เกิดใหม่ คือ จิตเกิดใหม่ที่เป็นปฏิสนธิจิต ในรูปร่างใหม่ โดยไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นลิงเลย เป็นสัตว์นรกก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้

เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำ ให้เกิด หรือ จะต้องเกิดเป็นลิงซ้ำอีกอีก วิวัฒนาการจนกลายเป็นเหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเกิดเป็นลิงซ้ำ แต่กรรมต่างหากที่จะทำให้สัตว์นั้นไปตามภพภูมิต่างๆ ได้ และกรรมต่างหาก ที่เป็นวิวัฒนาการให้สัตว์ไปเกิดในภพภูมิ แตกต่างกันไปตามกรรม

ดังนั้น เมื่อลิงตายไป ไปเกิดเป็นเทวดา จิตของลิงที่เป็นจุติจิตดับไป ดับไปหมดไม่เหลือ แต่สิ่งที่สะสมไว้ คือ กุศล อกุศล ในจิตใจ จะเรียกว่าเป็นวิวัฒนาการก็ได้ที่สืบต่อ ให้การสะสมไว้ไม่ได้หายไปไหน เมื่อเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นจิตดวงใหม่ แต่การสะสมไม่ได้หายไปไหน ทั้งอุปนิสัย ทั้งที่ดีและไม่ดี แต่เทวดาก็ไม่ได้วิวัฒนา การมาจากลิง เพียงเพราะตายจากความเป็นลิงเป็นเทวดา และมนุษย์ในชาตินี้ก็อาจตายไปเกิดเป็นลิง ดังตัวอย่างที่ชัดเจน คือ วัสสการพราหมณ์ ที่ด่าว่าพระมหากัจจายานะ เมื่อตายไป ก็ไปเกิดเป็นลิงในป่ากล้วย ดังนั้น จากมนุษย์ก็กลับไปเป็นลิงได้ เพราะกรรมพาไป ไม่มีการวิวัฒนาการที่สืบเนื่องโดยความเป็นของเที่ยงที่เป็นความเข้าใจผิด ครับ

วิทยาศาสตร์จึงไม่ได้ตรัสรู้ความจริงดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จึงคิดเอาด้วยความคิดนึกของปุถุชน อันมีรากฐานจากความยึดถือว่า มีเรา มีสัตว์บุคคล ไม่ได้รู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เมื่อมีความยึดถือว่าเป็นเรา มีเราจริงๆ มีมนุษย์จริงๆ มีลิงจริงๆ จึงคิดเอาด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง คือ มีการสืบต่อกันไป คือ จากลิงตัวนี้ ก็ไปเกิดเป็นลิงอีก และ ค่อยๆ เปลี่ยนพัฒนาไปตามวันเวลาจนกลายเป็นมนุษย์ แต่สัจจะความจริง สัตว์เป็นไปตามกรรม คือ แล้วแต่ว่ากรรมใดให้ผล ก็ไปตามภพภูมินั้น

เพราะฉะนั้น ในส่วนคำถามที่เป็นมนุษย์ต้นกัปป์ คือ กัปที่ทำลายไปแล้ว และเริ่มสร้างใหม่ เมื่อโลกสร้างใหม่ได้ไม่นาน สัตว์โลกก็ยังเกิดในพรหมโลก เมื่อจุติจากพรหมโลกก็เกิดมาเป็นมนุษย์ โดยที่เกิดโตทันที ดังนั้น เพราะกุศลกรรมที่ได้ทำ คือ เพราะกรรมนั่นเอง ไม่ใช่เพราะวิวัฒนาการต่างๆ ที่ยึดถือว่าเที่ยง มีเรา แต่เป็นเพราะ สภาพธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ กรรม ที่เป็นกุศลกรรมที่ยังมีกำลังอันเกิดจากการเกิดในพรหมโลก เมื่อกุศลกรรมมีกำลังอยู่ จึงเกิดในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์ต้นกัป ครับ กรรมจึงเป็นธรรมที่ซัดไป เปลี่ยนไปตามภพภูมิต่างๆ

ซึ่งหากจะหาเบื้องต้น สาเหตุที่มาจากวิวัฒนาการมาจากอะไรทำให้สัตว์โลกเกิด ก็คือ อวิชชา ความไม่รู้ ไม่มีลิงทำให้เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน กรรมและอวิชชาความไม่รู้ ทำให้เกิดในปัจจุบัน ตราบใดที่ยังมีกิเลส มีอวิชชา ก็ต้องเกิดร่ำไป ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้ หนทางการดับการเกิด คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น จนถึงการดับกิเลสได้ในที่สุดครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natural
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 21 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 21 ก.พ. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ

อย่างที่ท่านวิทยากรได้เรียนให้ทราบแล้วข้างต้น ว่าวิทยาศาสตร์เป็นการคาดคะเนคาดเดา ทฤษฏีทั้งหลาย ก็เกิดจากอาศัยหลักฐานที่พอจะมีหลงเหลือในปัจจุบันและการคาดเดา ซึ่งผิดก็ได้ ถูกก็ได้ ในยุคนี้อาจจะเชื่ออย่างนี้ ในยุคหน้าอาจจะเชื่อ อีกอย่างหนึ่ง ตามหลักฐานที่พบ และตามความนึกคิดที่ชนหมู่มากลงความเห็นคล้อยตามกันไปตามทฤษฏีนั้น ทฤษฏีนี้ อันเกิดคิดขึ้นด้วยอวิชชาความไม่รู้ของปุถุชนก็ย่อมจะถูกก็ได้ ผิดก็ได้ แต่เมื่อเป็นความคิดของปุถุชนผู้หน้าด้วยกิเลส คืออวิชชาความไม่รู้ ก็ย่อมเป็นไปมาก ที่จะผิด ต่างจากพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นโลกวิทู คือ ผู้รู้แจ้งโลก อันอะไรๆ น้อยหนึ่งในโลกที่พระพุทธองค์จะทรงไม่รู้นั้นไม่มี พระพุทธองค์ รู้ทุกอย่าง ทราบทุกอย่าง โดยความเป็นสัจจะ โดยความเป็นความจริงแท้

มนุษย์ที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจกัน ก็คือความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ซึ่งต่างจากเดียรัจฉาน โดยต่างกันด้วยรูปร่างหน้าตา ด้วยอัตภาพ ด้วยความเป็นอยู่ ซึ่งตามความเป็นจริงก็คือ ไม่มีสัตว์ และก็ไม่มีคน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมะเป็นไป ดั่งเช่นที่ อ.ผเดิมได้อธิบายไว้แล้ว ว่าสัตว์ทั้งหมดเป็นสมมติ เกิดจากภพนี้ ไปภพหน้าก็เปลี่ยนไปๆ ชาตินี้เป็นมนุษย์ ชาติหน้าเป็นเทวดาก็ได้ หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เพราะฉะนั้น ที่แท้จริง ที่มีสิ่งมีชีวิต หรือคือขันธ์ 5 ที่บัญญัติว่าเป็นมนุษย์ ด้วยรูปร่างผิวพรรณวรรณะ และอัตภาพที่ต่างๆ กัน ก็มาด้วยกรรม เกิดด้วยกรรม กรรมจำแนกให้สัตว์แต่ละชนิดต่างๆ กันออกไป อย่างมนุษย์ก็ถูกจำแนกด้วยกรรม ให้เป็นสุคติภูมิ คือภูมิที่เป็นสคติ ด้วยอาศัยเกิดจากกุศลกรรมที่กระทำแต่ปางก่อน ทำให้มนุษย์ มีความเป็นอยู่ มีอัตภาพสะดวกสบายกว่าสัตว์ในอบายภูมิ เช่น นรก หรือเดรัจฉาน หรือเทวดา ก็อยู่เป็นสุขกว่ามนุษย์ เพราะผลของกุศลต่างกัน เทวดาเกิดด้วยบุญที่ประณีตมากกว่ามนุษย์ เทวดาทั้งหมดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป มีกำเนิด เกิดด้วยโอปปาติกะ คือ เกิดเป็นตัวโตทันที ไม่ต้องนอนในครรภ์อย่างมนุษย์ ถ้าพิจารณาให้วิธีการเกิดของมนุษย์แล้ว จะไม่สงสัยในเรื่องนี้เลยครับ เพราะพระพุทธองค์ทรงจำแนกการเกิดออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1.เกิดจากครรมารดา

2.เกิดจากไข่

3.เกิดจากสิ่งสกปรก หรือ

4.เกิดเป็นตัวโตทันที

ซึ่งการเกิดทั้ง 4 อย่างนี้ ถ้าพิจารณาจริงๆ ก็คือ เทวดา ไม่ต้องมีวิวัฒนาการมาจากอะไรเลย เพราะไม่ต้องอาศัยการนอนในครรภ์ แต่เกิดขึ้น เป็นตัวโตทันที คือ เกิดโดยไม่ต้องอาศัยการวิวัฒนาการใดๆ ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆ อาศัยด้วยกรรมที่ละเอียดประณีตอย่างเดียว ทำให้เกิดอัตภาพ ความเป็นเทวดา ขึ้นทันที และมนุษย์นั้น ถือกำเนิดได้จากกำเนิดทั้ง 4 จำพวก คือมนุษย์จะเกิดในครรภ์มารดาก็ได้ จะเกิดในไข่ก็ได้ จะเกิดในสิ่งโสโครกก็ได้ หรือจะเกิดเป็นตัวโตเต็มทีเลยก็ได้ตามแต่กรรมจะให้ผล ตามแต่ยุคสมัย ตามแต่เหตุปัจจัยอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ชาติหนึ่งของท่านพระอุบลวรรณาเถรี ท่านก็ถือกำเนิดด้วยกำเนิดจากดอกบัว เป็นสังเสชกำเนิด คือเกิดในสิ่งของสกปรก (ในที่นี้หมายถึงเกิดขึ้นจากสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่ครรมาดา ไม่ใช่ไข่ และไม่ใช่โตเป็นตัวโตทันที การเกิดในดอกบัวจึงถือเอาเป็นการเกิดจำพวกนี้) อาจจะสงสัยว่าเกิดมาได้อย่างไร แต่เพราะกรรมนั่นแหละ เป็นปัจจัย ทำให้การเกิดแบบนี้ มีได้ทีนี้แม้ท่านจะถือกำเนิดโดยลักษณะนี้ ไม่ได้นอนในครรภ์มารดามาก่อน ก็ไม่ไ่ด้วิวัฒนาการมาจากลิงแน่นอน ในกรณีอย่างนี้ ท่านก็ชื่อว่าเป็นมนุษย์ เพราะความเป็นมนุษย์ ไม่ได้วัดกันที่เกิดจากครรภ์มารดาหรือไม่ แต่เป็นมนุษย์ ที่การถือกำเนิดในมนุษยภูมิ ด้วยกุศลกรรม ที่ให้ทำเกิดเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้นแล้ว วิวัฒนาการก็เป็นเรื่องสมมติ ที่อาศัยว่ามีความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ของบรรยากาศโลก ของสารเคมี ต่างๆ ทำให้สัตว์นั้นๆ เกิดเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่างๆ อันที่จริง จะเปลี่ยนอย่างไร ก็เป็นเรื่องของรูป คือรูปก็เกิดเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย จนมีรูปอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้าย มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดมาจากไหนก็ตาม มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ คือเกิดด้วยกุศลกรรม ทำให้ได้อัตภาพอย่างนี้ๆ สัตว์เดรัจฉาน ก็คือสัตว์เดรัจฉาน คือเกิดด้วยอกุศลกรรม ทำให้มีรูปร่างอย่างนั้นๆ มีความเป็นอยู่อย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็ถือกำเนิดได้แตกต่างกันตามกำเนิดทั้ง 4 ตามยุค ตามสมัยตามแต่เหตุปัจจัย และตามแต่กรรม

ขอกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Pure.
วันที่ 23 ก.พ. 2556

การกำเนิดของมนุษย์ตามหลักทฤษฎีวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์นั้นแตกต่างกันก็จริงอยู่ เราเป็นผู้ที่ศึกษาอยู่ก็รู้ตามหลักทฤษฎีที่เขาบันทึกไว้ จะจริงเท็จอย่างไรเราก็ใช่จะตรัสรู้ได้ดังนั้นเราจงใช้ความเป็นมนุษย์ของเรานี้ทำและประพฤติตามพระธรรมของพระพุทธองค์จะดีและประเสริฐกว่าที่จะต้องมานึกคิดในสิ่งที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามกาลจริงไหมครับ.

อนุโมทนาบุญครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ