จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ผมจะผ่านทุกข์นี้ไปได้อย่างไรครับ (ผมไม่อยากฆ่าตัวตาย)

 
ชะอมทอดกรอบ
วันที่  29 ม.ค. 2556
หมายเลข  22413
อ่าน  8,468

ตอนนี้ผมเป็นโรคซึมเศร้าครับ (ทราบจากไปพบจิตแพทย์) ลองหาข้อมูลดู ถามแพทย์ได้สาระว่าเกิดจากพันธุกรรม และความไม่สมดุลของสารเคมีใน "สมอง"

อาการผมตอนนี้ถือว่าย่ำแย่ทั้งกายทั้งใจ (อารมณ์) เลยครับ พออธิบายได้ดังนี้

ทางกาย

1. นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนไป นอนตีสี่ ตื่นสาย นอนไม่ค่อยหลับ

2. อ่อนเพลีย

3. เบื่ออาหาร

ทางใจ (อารมณ์)

1. เบื่อหน่ายไปเสียทุกอย่าง ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย

2. บังคับตัวเองให้ทำการงานไม่ได้

3. หงุดหงิด ไม่สนอะไร หากมีใครมาเดินชนคงจะทะเลาะได้

4. มีความคิดรุนแรงทางอาชกรรม เช่นการกราดยิง การเผาอาคารสถานที่

ช่วงชีวิตก่อนที่จะมาเป็นอาการนี้ ผมเจริญสติบ่อยมากในแต่ละวัน ตามดูตามรู้อิริยาบถตลอด แต่ตอนนี้ทำแทบไม่ได้เลยครับ อารมณ์มันหม่นหมอง ซึม ใจเลื่อนลอย เหมือนคนขาดสติ สมาธิก็เสียไปด้วย

หมอให้กินยาครับตอนนี้ เพื่อปรับสมดุลเคมีในสมอง แต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะหาย พอเกิดเรื่องนี้กับตัวเองผมเลยสงสัยในคำว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" หากคำพูดนั้นจริง ผมจะต้องพัฒนาจิตอย่างไรให้ข้ามพ้นความทุกข์นี้ไปได้ แล้วตามหลักพระพุทธศาสนา การที่สารเคมีในสมองเกิดความไม่สมดุลมันส่งผลต่อความนึกคิดจิตใจได้จริงๆ เหรอครับ ดังเช่นคนบ้า (โรคจิตเภท) ที่ความนึกคิดจิตใจไม่เหมือนคนทั่วไปเพราะสารเคมีในสมองมีปัญหา ถ้าได้รับการรักษาเช่นทานยาประจสม่ำเสมอก็กลับมาปกติได้ครับ

ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ตอนนี้ชีวิตผมแย่จริงๆ แต่ยังไงผมจะไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด (ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าในอนาคตหากสารเคมีในสมองมันแย่มากๆ อาจส่งผลให้ผมฆ่าตัวตายขึ้นมา คงแล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัยล่ะครับ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โรคซึมเศร้า ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ที่เป็น จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น แต่เป็น จิต เจตสิกที่ไม่ดีเกิดขึ้น มีโทสะมูลจิตเกิดขึ้น เป็นต้น ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ คือ โทมนัสเวทนาที่เกิดร่วมด้วยกับอกุศลจิต ที่เป็นโทสะมูลจิตในขณะนั้น ซึ่งอาศัยการเกิดโทสะมูลจิตบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดลักษณะซึมเศร้าได้เป็นธรรมดา ครับ ซึ่งทางการแพทย์ กล่าวว่า เพราะอาศัยสารเคมีที่อยู่ในสมอง ที่หลั่งออกมาผิดปกติ เป็นต้น วิธีการรักษาก็คือ ทานยา ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง ตามที่ผู้ถาม ถามว่า สารเคมีมีผลต่อจิตใจได้หรือไม่ ก็สามารถมีได้ครับ คือเพราะอาศัยรูปที่ไม่ดี ก็เป้นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิตได้เช่นกัน เพราะ รูปบางรูป ก็เป็นที่ตั้ง เป็นที่เกิดของจิตก็มี และ รูปบางอย่างก็เป็นปัจจัยกับนามได้ คือ เป็นปัจจัยกับการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกได้ เพราะอาศัยรูปที่ไม่ดีก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิตได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ส่วนคำถามในประเด็นที่ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว คือ อย่างไร ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า จิต และ คำว่า กายใหัถูกต้องครับ ก็จะเข้าใจ คำว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวได้ครับ จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานการรู้ คือ เป็นสภาพรู้ ดังนั้น คำว่าเป็นใหญ่ในที่นี้ คือ จิตเป็นใหญ่ที่เป็นไปในการรู้อารมณ์เท่านั้น การรู้สิ่งต่างๆ จิตเป็นใหญ่ในสภาพรู้ครับ ส่วนกาย คือ การประชุมรวมกันของสภาพธรรม โดยนัยนี้ หมายถึง กายที่เป็นการประชุมรวมกันของรูปธรรม เช่น รูป คือ ธุาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา เพราะอาศัย สภาพธรรมที่เป็นรูป หลายๆ รูป จึงบัญญัติว่าเป็นกายนี้ครับ คำว่า รูปธรรมที่รวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นกายนี้ รูปธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย รูปไม่รู้สึก ไม่เจ็บ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ธาตุดินไม่รู้อะไร ใครจะด่า หรือ ว่าอย่างไร ธาตุดิน น้ำ ไฟ และลม ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นครับ ในเมื่อสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมไม่รู้อะไรเลย กายที่เป็นการประชุมรวมกันของรูปธรรม กายก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น กายไม่รู้ว่าใครจะสั่งหรือไม่สั่ง เพราะกายไม่ใช่สภาพรู้ เพราะเป็นรูปธรรมครับ ดังนั้น จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ไม่ถูกต้องครับ เพราะจิตไมไ่ด้เป็นนายของกาย จิตไม่ไ่้ด้ทำหน้าที่สั่ง ออกคำสั่งให้กายเป็นไปตามจิต แต่จิตเป็นสภาพรู้เท่านั้น และส่วนกาย คือรูปธรรม ก็ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ไม่สามารถจะรับคำสั่งได้ เพราะรูปไม่รู้อะไรทั้งสิ้น รูปไม่ไ่ด้ยินคำสั่งครับ

ดังนั้น หนทางแก้ คือ เลิกในสิ่งที่่ผิด คือ การเจริญสติโดยการดูอิริยาบถนั้น ไม่ถูกต้อง ยิ่งทำก็จะยิ่งเพิ่มอกุศลจิต เพิ่มความไม่รู้ และ เพิ่มโรคกิเลสมากขึ้น อันอาจจะมีผลทำให้โรคกายมากขึ้นด้วย แต่หันมาแก้ปัญหาที่โรค ทั้งแก้ที่สมุฏฐานของโรคซึ่งมีหลายทาง คือ การทานยา ที่ปรับสมดุลสารเคมี ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี และ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตจากเดิม ซึ่งได้ไปอ่านวิธีการรักษาโรคนี้ ก็แนะนำวิธีซึ่งมีประโยชน์กับร่างกายโดยรวมด้วย ครับ 1.ออกกำลังกาย อาจจะนอนไม่หลับ หาแผ่นออกกำลังกาย เต้นแอโรบิคมาดู ครับ เต้นตาม เป็นต้น เมื่อร่างกายได้ออกกำลังกาย จะเป็นการปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายก็จะหายเร็วขึ้น และ ทำให้ซึมเศร้าน้อยลง 2. สร้างเสียงหัวเราะให้ตัวเอง เปิดยูทูบ ดูหนังตลก การ์ตูนตลกก็ได้ ครับ 3. ระบายอารมณ์และพูดคุยกับคนอื่น พยายามพูดคุยกับคนใกล้ตัวให้มากครับ เช่น บิดา มารดา พี่น้อง เป็นต้น วิธีที่ดีที่สุด แก้ปัญหาของโรคแท้จริง คือ การเกิดความคิดที่ถูก คือ คิดด้วยความเห็นถูก อันมาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ความซึมเศร้ามาจากอกุศลจิตที่คิดผิด แต่ถ้าเราสะสมปัญญาอันเกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้คิดถูกขึ้นในขณะนั้น และ ขณะที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นไม่ซึมเศร้า แต่กำลังเกิดกุศลจิตในขณะนั้น ก็กั้นกระแสของกิเลส แก้โรคที่ถูกต้องในขณะนั้น ครับ ดังนั้นมีเวลา ก็แบ่งมาฟังธรม ศึกษาธรรม ควบคู่กับการใช้ชีวิตเป็นปกติ คือ ออกกำลังกาย ทานยา ดูหนังที่ตลก พูดคุยกับคนรอบข้าง รับรองหายแน่นอนครับ และ ที่สำคัญก็ได้สะสมความเข้าใจถูกในพระพุทธศาสนาด้วย และ อย่างไรก็ดี ก็สามารถถามปัญหาธรรมในเวปนี้บ่อยๆ ได้ ครับ ก็จะช่วยตอบ ก็เป็นการสนทนา สะสมความเข้าใจไปในทางที่ดีครับ และ ก็ฟังธรรมในเวปนี้ ได้ที่เมนูฟังธรรม ครับ

ขอเป็นกำลังใจให้คุณชะอมทอดกรอบ ผ่านสิ่งเหล่านี้ไปด้วยดี และ ด้วยความเข้าใจพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
daris
วันที่ 29 ม.ค. 2556

ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นด้วยนะครับ ผมไม่ใช่จิตแพทย์ แต่พอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอยู่บ้าง

ปกติยาต้านซึมเศร้าจะใช้เวลาสักระยะกว่าจะเริ่มเห็นผลครับ ส่วนใหญ่จะประมาณสัก 2 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผล แต่จะเริ่มเห็นผลเต็มที่ก็อาจจะราวๆ เดือนหนึ่ง ซึ่งระหว่างนี้จิตแพทย์คงจะนัดไปดูอาการเรื่อยๆ เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม ดังนั้นสำคัญคือต้องไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอครับ และทานยาตามที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรปรับยาเองหรือหยุดยาเอง เพราะการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยาอาจจะต้องทานยาติดต่อกันหลายเดือนกว่าจะหายขาด หากมีอาการข้างเคียงที่คิดว่าอาจเกิดจากยาก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เมื่อรักษาหายแล้วแพทย์ก็อาจจะนัดติดตามอาการเป็นระยะๆ เพราะบางคนมีอาการเป็นซ้ำได้หลังจากหยุดยา

ช่วงแรกๆ ที่ยังอาการมากอยู่อาจจะมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง อยากฆ่าตัวตาย หากมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นอย่าอยู่คนเดียวนะครับ ให้อยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวและบอกให้เขาพาไปพบแพทย์อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด

ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และ ได้พบพระพุทธศาสนา และ มีคนทีสามารถอธิบายพระธรรมให้เราเข้าใจได้ เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่หาได้ยากยิ่งในสังสารวัฏ พ้นจากชาตินี้ไปแล้วไม่รู้จะได้มีโอกาสฟังพระธรรมอีกในชาติไหน กัปไหน

ขอให้หายเร็วๆ นะครับ และใช้ชีวิตที่มีค่านี้เพื่อความเข้าใจธรรมะครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 29 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะที่กุศลเกิดขึ้น ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็ไม่ซึมเศร้าแล้ว มีแต่จะเบิกบาน ผ่องใส ด้วยกุศลธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เป็นธรรมดาของสัตว์ที่ยังท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ เต็มไปด้วยทุกข์โทษภัยจริงๆ การที่เป็นโรคต่างๆ ประสบปัญหาต่างๆ มากมาย ก็สืบเนื่องมาจากการเกิด และต้นเหตุจริงๆ ก็คือ กิเลส มีอวิชชา ความไม่รู้ เป็นต้น แล้วอะไรที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่ยังเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์?

ควรที่จะได้พิจารณาว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตราบใดที่ยังไม่สิ้นชีวิต ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ลำบาก ประสบปัญหา จะด้วยประการใดๆ ก็ตาม แต่ถ้าหากว่ามโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา นั่นย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก ไม่ควรเลยสำหรับการฆ่าตัวตาย

เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ รวมถึงการอบรมเจริญปัญญาด้วย ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด ด้วยการสะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป นี้แหละ คือ สิ่งที่เป็นสาระที่สุดสำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ

ขอให้คุณผู้ใช้นามว่า "ชะอมทอดกรอบ" มีกำลังใจที่ดีในการมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้ฟังพระธรรศึกษาพระธรรม และสะสมความดีประการต่างๆ ต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ชะอมทอดกรอบ
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบคุณทุกๆ ความเห็น ขอเรียนถามเพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ที่คุณ paderm กล่าวไว้ในความคิดเห็นที่ 1 ความตอนนึงว่า "..หนทางแก้ คือ เลิกในสิ่งที่ผิด คือ การเจริญสติโดยการดูอิริยาบถนั้นไม่ถูกต้องยิ่งทำก็จะยิ่งเพิ่มอกุศลจิต เพิ่มความไม่รู้ และ เพิ่มโรคกิเลสมากขึ้น อันอาจจะมีผลทำให้โรคกายมากขึ้นด้วย..." เหตุใดการเจริญสติโดยการดูอิริยาบถ ยิ่งทำยิ่งเพิ่มกิเลสครับ แล้วควรเจิญสติแบบไหนครับ นั่งสมาธิรู้ลมหายใจหรือเปล่า?? ขออภัย มือใหม่ในเรื่องพวกนี้จริงๆ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 30 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาท่านวิทยากรและทุกท่านครับ

มาเป็นกำลังใจให้คุณชะอมทอดกรอบครับ และขอร่วมสนทนาด้วยนะครับ ขออนุโมทนาคุณชะอมทอดกรอบ ที่ยังมีสติ ระลึกได้ เป็นไปในกุศล ที่ไม่คิดจะฆ่าตัวตาย และเป็นผู้ตรงต่อลักษณะอาการที่ตนเป็น ขออนุโมทนาที่คุณชะอมทอดกรอบมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย

ตัวผมเองไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ จึงขอไม่แสดงความคิดเห็นด้านอาการทางกาย แต่ผมก็เชื่อว่า ถ้าจิตใจค่อยๆ เจริญขึ้นเป็นไปในทางกุศล มีกุศลจิตเกิดมากขึ้น จิตใจผ่องใส ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้อาการทางกายค่อยๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น หรือเป็นไปในทางที่ควร ทำให้รูปธาตุต่างๆ ในกายกลับสู่ภาวะปรกติเช่นเดิมได้ เพราะโรคซึมเศร้าในความเป็นจริง โรคซึมเศร้าก็เป็นแค่บัญญัติ ที่หมายเอาอาการของโทสมูลจิตที่เกิดมากๆ จนแสดงออกมาทางกาย วาจา และทำให้กระทบชีวิตประจำวันที่สังคมคิดว่าควรจะเป็น แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีโรคซึมเศร้า ไม่มีใครเป็นโรคซึมเศร้า มีแต่อกุศลจิต หรือโทสมูลจิต ที่มีลักษณะอย่างนั้นๆ เกิดดับสืบต่อมาก เกิดบ่อย แล้วก็ถูกบัญญัติว่า นี่เป็นโรคซึมเศร้าแต่จริงๆ ชีวิตของปุถุชนเราๆ ท่านๆ ก็มีโรคทางใจ คือโรคกิเลส ที่ยังไม่ได้ดับ มากมายนัก ล้วนเป็นไปเพราะกิเลสทั้งสิ้น เพียงแต่บางคนมีกิเลสมาก บางคนมีน้อย บางคนมีโลภะมาก บางคนมีโทสะมาก บางคนมีโมหะมาก ก็แล้วแต่การสะสมและเหตุปัจจัยทั้งหลายที่ต่างๆ กัน บางคนที่มีกิเลสมาก อย่างเช่นบางคนบ้าชอปปิ้ง ใช้เงินเป็นล้านๆ ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม หรือเสพติดความหรูหรา ก็เพราะอัธยา ศัยสั่งสมโลภะมามาก ติดข้องในอารมณ์นั้นๆ ที่บัญญัติว่าเป็นกระเป๋า ติดข้องในบัญญัติธรรม ที่สมมติว่าทำให้ดูหรูหราไฮโซ ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่มีอะไรเลย ก็รูปนามเกิดดับ กระเป๋าก็ไม่มี ความไฮโซก็ไม่มี มีก็แค่ตอนที่คิด เท่านั้น ว่านี่กระเป๋า นี่ความไฮโซ ถ้าไม่คิด ไม่จำ กระเป๋าก็ไม่มี เป็นแค่รูป ความไฮโซก็ไม่ได้มี เป็นแค่บัญญัติตามเรื่องตามราวเท่านั้น และ "เรา" ที่ถือกระเป๋า ที่ไฮโซ ก็ไม่มี บางคนก็มีโทสะมาก โกรธไปหมด อะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธ ขุ่นใจ ใครมาด่ามาว่านิดนึงก็จะเอาปืนไล่ยิงกันแล้ว อย่างเช่น นักเรียนตีกันที่มีให้เห็น มาหยามนิดหยามหน่อย ก็เอาไม้ไล่ฟาดเอาปืนไล่ยิง ก็ไม่พ้นจากโทสะที่สั่งสมมา ที่ทำให้น้อมไปที่จะมีความคิดอย่างนั้น จนล่วงออกทางกายทวาร วจีทวาร กระทำกรรมต่างๆ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่มี ไม่มีทั้งคนที่โกรธ ไม่มีทั้งคนที่ไล่ตี เป็นแค่รูปนามเกิดดับสืบต่อ ตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้นก่อนอื่น อยากให้คุณชะอมทอดกรอบ เอาความคิดว่า "เรากำลังเป็นโรคซึมเศร้า" ออกไปก่อน ไม่มีเราที่กำลังซึมเศร้า ไม่มีใครป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขณะใดที่จิตใจหม่นหมอง ขุ่นเคือง ให้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นแค่โทสมูลจิต เกิดขึ้นกระทำกิจของตนๆ คือทำให้จิตใจตอนนั้นซึมเศร้าเป็นโทม นัสเวทนา แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ ไม่มี "เราที่กำลังซึมเศร้า" แต่อย่างใด เพราะส่วนมาก ทีอาการเป็นหนักขึ้น ไม่ทุเลา ก็เพราะมีความคิดว่า มี "เรา" ที่กำลังซึมเศร้า เป็นตัว "เรา" ที่กำลังซึมเศร้า และก็ปรุงแต่งไปต่างๆ นานาว่า นี่โรคซึมเศร้า นี่เราซึมเศร้า นี่ความคิดของเราเป็นไปในทางไม่ดี ที่เราเบื่อาหาร นี่เราอย่างนั้น นี่เราอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ "ไม่มี เรา" ที่กำลังทำอย่างนั้นคิดอย่างนี้ เป็นแค่ธรรมะ เกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย

ขณะที่นอนไม่หลับ / ขณะที่อ่อนเพลีย / ขณะที่เบื่ออาหาร / ขณะที่เบื่อหน่าย / ขณะที่บังคับตัวเองไม่ได้ / ขณะที่หงุดหงิด / ขณะที่คิดจะทำอกุศลกรรม ทั้งหมด ไม่มี "เรา" ที่กำลังเป็นอย่างนั้น แค่ทราบ เท่านี้ครับ ทราบเท่านี้ว่า ทั้งหมด ไม่ใช่เรา ที่กำลังเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแต่ธรรมะ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย รู้อย่างนี้โล่งขึ้นไหมครับ ไม่ต้องไปกังวลอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องกังวลว่าเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จนกลัวตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะไปทำกรรมไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ คือ ไม่มีใคร ไม่มีเรา เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ละความเครียดลงไปได้เยอะ ว่าไม่ใช่เรากำลังโกรธ ไม่ใช่เรากำลังซึมเศร้า , เมื่อ ไม่มี "เรา" แต่เป็น "ธรรมะ" จิตใจก็จะอ่อนโยนขึ้น เบาขึ้น

ทีนี้ อกุศลกรรม เป็นธรรมไม่ดี เป็นธรรมฝ่ายไม่งาม เป็นธรรมเป็นไปเพื่อทุกข์ ก็ค่อยๆ เห็นโทษของอกุศล เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของโทสะที่เกิดดับกันนานๆ ว่าไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษ เกิดเมื่อไหร่ก็โทมนัสเมื่อนั้น ทำลายประโยชน์ คือขวางกั้นกุศลจิตไม่ให้เกิด ก็ให้เกิดระลึกรู้ทุกครั้งที่มีโทสะเกิดขึ้น หรือทุกครั้งที่เริ่มจะซึมเศร้า เบื่อโน่นเบื่อนี่ ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา และ ไม่เป็นประโยชน์ ค่อยๆ ระลึกลักษณะของโทสะไป พอเริ่มระลึกได้ สติเกิดบ่อย ก็ค่อยๆ น้อมไปในกุศล ระลึกไป ระลึกไป ไม่ให้โทสะนั้นสะสมสืบต่อยาวๆ จนเป็นเรากำลังซึมเศร้า เรากำลังเบื่อ เรากำลังโน่นนี่นั่น ค่อยๆ ระลึกว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แม้ขณะที่เกิดความอยากที่จะไม่ซึมเศร้า เกิดความคิดว่า เมื่อไหร่หนอจะไม่ซึมเศร้า เมื่อไหร่จะหาย ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร แค่รู้ว่าธรรมะ เป็นธรรมะ เกิดตามเหตุปัจจัย

โรคซึมเศร้าเป็นโทสะมูลจิต ที่เป็นอย่างนั้นเพราะโทสะเกิดสืบต่อมาก จนมีปัจจัยคือทำให้เกิดง่ายขึ้น เกิดบ่อยขึ้น แต่เมื่อระลึกรู้เรื่อยๆ ไม่มีเราในขณะนั้น และเป็นธรรมะ สติที่เกิดระลึกก็จะค่อยเป็นปัจจัย ให้โทสะขาดช่วง ให้โทสะทุเลา ให้โทสะไม่เป็นปัจจัยในการเกิดดับสืบต่อนานๆ เพราะพอระลึกได้บ่อยๆ จนเป็นนิสัย ทุกครั้งที่โทสะเกิด สติก็ระลึกทันที ทำให้โทสะขาดตอน ไม่สะสมบ่อย ไม่เป็นไปมากเหมือนแต่ก่อน ก็จะค่อยๆ ทุเลาลงๆ จิตใจก็ผ่องใสขึ้นๆ และเมื่อคิดที่จะทำอะไรไม่ดี ก็ให้ระลึกว่า นั่นก็ไม่ใช่เรา เป็นอกุศลธรรม และอกุศลธรรมนำทุกข์มาให้ ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะกระ ทำลงไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่ช่วยให้หายจากวังวนโทสะมูลจิตได้ และ ไม่ช่วยให้ใครได้รับประโยชน์ และเป็นแต่จะสะสมต่อไป ให้โทสะมากขึ้น เพราะฉะนั้นความคิดนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ควรที่จะคิด คิดไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ธรรมะเป็นธรรมะ ก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย ห้ามความคิดไม่ได้ ก็ค่อยๆ ระลึกไป ว่าขณะนี้ก็เพียงความคิด เกิดขึ้นเพราะโทสะเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้คิดไปอย่างนั้น ไม่มีใคร ไม่มีเรา และความคิดนี้ไม่เป็นประโยชน์ ก็เกิดสติระลึกไป เห็นโทษของความคิดนั้น ก็จะไม่ล่วงออกมาทางกาย ก็จะเป็นแค่ความคิดที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่ต้องใส่ใจ ทีนี้พอความคิดนี้เกิด สติก็จะเกิดคั่น ก็จะทำให้ความคิดทุเลาลงได้ และค่อยๆ หายไปในที่สุด

แต่หากไม่ได้ผล ก็ให้พิจารณาว่า จะมัวซึมเศร้าไปก็ไม่ใช่ประโยชน์ และโทสะ หยาบกว่าโลภะ มีโลภะเกิดบ้างจิตใจก็จะสบายขึ้น ก็ง่ายที่จะน้อมไปในกุศลในภายหลัง ก็อย่างที่ท่านวิทยากรแนะนำ ให้หาอะไรบรรเทิงใจ ทำโทสะให้ทุเลาไปก่อน แต่ที่สุด ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีใครกำลังซึมเศร้า ไม่มีเรากำลังซึมเศร้า มีแต่ธรรมะเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อไม่มีเราที่กำลังซึมเศร้า ก็ไม่มีเราที่เครียด ที่เบื่อ ที่หงุดหงิด ที่โน่นนี่นั่น จิตใจก็เบาสบายขึ้น เพราะรู้ว่าเป็นธรรมะเท่านั้น ก็ค่อยๆ ระลึกไปครับ

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้คุณชะอมทอดกรอบผ่านพ้นวังวนของโทสะออกไปให้ได้ครับ

ขอธรรมรักษาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 30 ม.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 4 ครับ

การเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกเป็นสำคัญ คือ สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่มีเราที่จะสามารถบังคับสภาพธรรมอะไรได้ เพราะเป็นธรรม เป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย สติปัฏฐาน คือ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่ดี มีสติและปัญญา เป็นต้น แม้สติ และ ปัญญา ก็เป็นสภาพธรรมเช่นกัน เมื่อเป็นสภาพธรรมก็ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย ต้องมีเหตุปัจจัย สติและปัญญาจึงเกิดขึ้น และ เมื่อเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จึงไม่มีเรา หรือ ใครเลย ที่จะบังคับให้สภาพธรรม คือ สติและปัญญา เลือกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใด

ดังนั้น การดูอิริยาบถ ก็เท่ากับว่า เป็นการเลือกให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใด โดยเจาะ จง ก็เป็น โลภะ ความต้องการที่จะรู้ ที่จะจดจ้องในสภาพธรรมนั้น เช่น เดินก็รู้ว่าเดิน ยืนก็รู้ว่ายืน ซึ่ง ในขณะนั้นไม่ใช่สติ และ ปัญญาที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม แต่เป็นความต้องการที่จะรู้ แม้เด็ก ก็รู้ว่ากำลังเดิน รู้ว่ากำลังยืน แต่การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่การรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวว่า ยืน เดิน เพราะขณะนั้น ก็ไม่ได้รู้ความจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฎ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา โดยไม่ได้เลือกเลยว่าจะรู้สภาพธรรมอะไร เพราะขณะนี้มีสภาพธรรมหลายๆ อย่าง อย่างที่กำลังปรากฎ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สี เสียง กลิ่น รส คิดนึก ล้วนแล้วแต่เป็นภสาพธรรม เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังเห็น การเจริญสติ คือ รู้ว่าเห็น ไม่ใช่เรา แต่ต้องไม่ลืมเสมอว่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ใช่การจะไปทำ จะไปรู้ว่า เห็นเป็นธรรมโดยจดจ้อง แต่หนทางที่ถูกในการเจริญสติปัฏฐาน คือ ให้เป็นไปตามหน้าที่ของธรรม ที่จะทำหน้าที่เองว่า จะเกิดสติ ปัญญา หรือไม่ หน้าที่ คือ การฟังพระธรรมที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากแม้คำว่า ธรรม คือ อะไร เพราะถ้าเรายังไม่เข้าใจคำว่าธรรม ก็จะไปหาธรรม และ ไม่รู้ว่า ธรรมอะไรที่ควรรู้ ก็จะเจริญสติปัฏฐานผิดด้วย ครับ ก็สะสมความไม่รู้และกิเลสก็ทำให้คิดผิด เกิดอกุศลจิตมาก ก็ทำให้เกิดรูปที่ไม่ดีมากๆ ก็มีผลกับร่างกาย กับโรคได้ ดังนั้น ขอแนะนำให้ฟังพระธรรม ไม่ต้องไปปฏิ บัติอะไรทั้งสิ้น เพราะปัญญาที่เจริญจากขั้นการฟัง จะทำให้คิดถูก และ ทำให้สติเกิดเอง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ก็ได้อบรมหนทางที่ถูกแล้ว ย่อมถึงจุดหมายได้ เปลี่ยนจากจะปฏิบัติ มาเป็นฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ

ขออนุโมทนา

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

จะเริ่มต้นศึกษาธรรมะอย่างไร

ศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจอะไร

ธรรมะ ปรมัตถธรรม อภิธรรม

ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
นิรมิต
วันที่ 30 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
natural
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
isme404
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอแนะนำให้คุณชะอมทอดกรอบ ทำตามคำแนะนำของคุณ dris (ความคิดเห็นข้อที่2) ถูกต้องที่สุดเลยค่ะและก็ฟังธรรมะไปด้วยจะทำให้จิตใจดีขึ้นนะค่ะ ขอให้ธรรมรักษานะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Boonyavee
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เซจาน้อย
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ขณะที่กุศลเกิดขึ้น ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้น ก็ไม่ซึมเศร้าแล้ว"

ขอแนะนำให้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

ไม่ต้องไปปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น เพราะ ปัญญาที่เจริญจากขั้นการฟัง จะทำให้คิดถูก สติจะเกิดเอง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ก็ได้อบรมหนทางที่ถูกแล้ว ย่อมถึงจุดหมายได้ เปลี่ยนจากจะปฏิบัติ มาเป็นฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อน ครับ

ขออนุโมทนา

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณชะอมทอดกรอบอดทนต่ออกุศลวิบาก ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมจนกว่าจะเข้าใจดังคำที่ท่านอาจารย์สุจินต์ กล่าวไว้ว่า"มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฎ"

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เข้าใจ
วันที่ 31 ม.ค. 2556

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอขอบคูณและขออนุโมทนาครับ ขอเขียนมาให้กำลังใจอยู่ฟังธรรมศึกธรรมเพื่อให้เข้าใจ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wannee.s
วันที่ 1 ก.พ. 2556

การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่การจดจ้อง ไม่ใช่การดู แต่เป็นความเข้าใจในลักษณะของธรรมะที่มีจริงๆ ในขณะนั้น ที่สำคัญไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ไม่เที่ยง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
khundong
วันที่ 2 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ

อ่านคำถามของท่านชะอมทอดกรอบ แค่นามเรียก ผู้ที่อ่านก็โสมนัสเล็กๆ ครับ ผมมองว่าท่านชะอมทอดกรอบไม่ธรรมดาครับ จะว่าไปแล้วยังดีกว่าอีกหลายๆ คนในโลกอีกมากมาย ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงต่อจิ๊กซอให้เราเห็นรูปภาพในจิ๊กซอ ที่มี 84,000 อันให้เราศึกษาอบรม เราควรเชื่อตามทันทีโดยไม่ต้องสงสัย เพราะจะไม่ต้องเสียเวลาอีกยาวนานมาก ขนาดศึกษาตามพระองค์แล้ว บัวใต้น้ำอย่างเราๆ ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องคาดหวังเลยครับ ว่าเมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏภูมิ เพียงขอให้เข้าใจจริงๆ ก็พอ วันละเล็กละน้อยโดยเฉพาะขณะนี้ เข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือต้องทบทวนนับหนึ่งใหม่กันทุกวี่ทุกวันใหม (มันหนักขึ้นหรือเบาลง)

ส่วนเรื่องการฆ่าตัวตายคงตัดประเด็นออกไปได้ครับ เพราะเมื่อมีความเข้าใจขนาดนี้แล้ว ไม่มทางครับ เพราะเหตุว่าขณะที่ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ บรรทัดก่อนหน้า นามรูปก็ตายไปหมดแล้วไม่เหลือซากครับ แล้วจะเอาอะไรไปตายอีกครับ เพียงยอมรับและพอใจกับสิ่งที่กระทบ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และ หทัยวัตถุ และควรทำความเข้าใจแต่ละคำให้ชัดเจน ไปช้าๆ ชัวร์ๆ และมาช่วยกันอธิบายให้มนุษย์ภูมิอย่างเราๆ ได้สนทนาธรรมกัน ท่านอ.สุจินต์ อธิบายได้ลึกซึ้งมาก แต่ละถ้อยคำของท่านไม่มีผิด เช่นคำว่า"ไม่คิดก็ไม่มี" , หรือ "การกระทำกรรมในขณะนี้ จะส่งผลให้เกิดความนึกคิดในอนา คต", "ขณะนี้พวกเราทำอะไรกันอยู่" นั่นก็แสดงว่าธาตุทุกๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นนาม เป็นรูป ในจักรวาลเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุปัจจัย ซึ่งขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยในอดีต ไม่มีผู้ใดหยุดมันได้เพราะเป็นธรรม ผู้ที่หยุดได้ก็ต้องถึงโลกุตรซึ่งเป็นนามธรรมล้วนๆ

ฉะนั้น ควรหมั่นเพียรศึกษาทำความเข้าใจ และกระทำประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นในแต่ละวินาที เพื่อให้ผลเกิดในอนาคตเป็นผลจากการกระทำในปัจจุบันของเราเองครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ