ถามเรื่องกิเลส

 
gavajidham
วันที่  20 ต.ค. 2555
หมายเลข  21932
อ่าน  1,139

ขอความกรุณาจากคุณ paderm

๑. อาสวะกิเลสเป็นกิเลสอย่างกลางปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ - เช่นความโกรธ

๑.๑ จัดว่ายังเป็นแค่ส่วนของความคิด - ความนึกอยู่ ใช่หรือไม่

๑.๒ และเป็นมโนกรรมที่เป็นอกุศลด้วย (ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ส่วนที่เป็นมโนกรรม)

๒. ความโกรธ คืออาสวะกิเลส - กิเลสอย่างกลาง ที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วในใจนี้ เป็นกามาสวะหรือไม่

๓. จนกว่าความโกรธที่อยู่ในใจนี้ นี้มีกำลังมากขึ้น จึงยังผลให้เป็นกิลสอย่างหยาบ เป็นความโกรธที่ล่วงออกมาทางวาจาคำพูด - ทางการกระทำทางกาย

ขอความกรุณาตอบด้วย / ขอขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. อาสวกิเลสเป็นกิเลสอย่างกลางปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ - เช่นความโกรธ

- อาสวกิเลส คือ สภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นในจิตใจ หรือจะกล่าวได้ว่า ขณะใดที่อกุศลจิตเกิดขึ้นขณะนั้นมีอาสวกิเลสประเภทใดประเภทหนึ่ง ซึ่งไหลออกมาคือเกิดขึ้นที่จิตใจ แม้ขณะที่เป็นเพียงความชอบ ยินดี พอใจ ไม่แสดงออกมาทาง กาย วาจา ก็เป็นอาสวะแล้วในขณะนั้น ครับ

๑.๑ จัดว่ายังเป็นแค่ส่วนของความคิด - ความนึกอยู่ ใช่หรือไม่

- แม้ขณะที่ แสดงออกมาทาง กาย วาจา ก็จะต้องอาศัย การเกิดขึ้นของจิต เกิดขึ้นเป็นไป จึงมีการแสดงออกมาทาง กาย วาจา เพราะฉะนั้น ขณะที่แสดง กาย วาจาที่ไม่ดี อันมีกิเลส อกุศลจิตเป็นปัจจัย เช่น การลักทรัพย์ อันมีโลภะเป็นเหตุ ก็ชื่อว่ามีอาสวกิเลสแล้วในขณะนั้น เพราะมีอกุศลจิต มีโลภะเกิดขึ้นในขณะที่มีการกระทำทาง กาย วาจา ครับ

๑.๒ และเป็นมโนกรรมที่เป็นอกุศลด้วย (ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ส่วนที่เป็นมโนกรรม)

- ถูกต้อง ครับ

๒. ความโกรธ คือ อาสวะกิเลส - กิเลสอย่างกลาง ที่ปรากฏ เกิดขึ้นแล้วในใจนี้ เป็นกามาสวะหรือไม่

- ความโกรธ ไม่จัดอยู่ในอาสวกิเลส ส่วน กามาสวะ มุ่งหมายถึง โลภะ ความติดข้อง ยินดีพอใจ ใน รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ครับ

๓. จนกว่า ความโกรธ ที่อยู่ในใจนี้ มีกำลังมากขึ้น จึงยังผลให้เป็นกิลสอย่างหยาบ เป็นความโกรธที่ล่วงออกมาทาง วาจาคำพูด - ทางการกระทำทางกาย

- ความโกรธที่มีกำลัง ย่อมทำให้เกิดการแสดงออกมาทาง กาย วาจา ครับ อันเป็นกิเลสหยาบ ไม่เป็นอาสวะ แต่เป็นกิเลสประเภทอื่นๆ เช่น สังโยชน์ มี ปฏิฆสังโยชน์ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 21 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อกุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความติดข้อง ยินดีพอใจหรือความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ก็มีจริง เป็นธรรม แต่เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี เกิดขึ้นเมื่อใดก็สะสมความไม่ดีเพิ่มขึ้นในขณะนั้น

ตราบใดที่ยังไม่ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการฆ่า ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น ก็ยังไม่ใ่ช่เหตุที่จะทำให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้า แต่ถ้าสะสมมากขึ้นๆ ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรม เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าได้ ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยเดียว

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทรงแสดงไว้อย่างละเอียด ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ฟัง ให้ผู้ศึกษา เกิดความเข้าใจถูก เห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง

สำหรับในเรื่องของกุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดำนั้น พระองค์ทรงแสดงจำแนกไว้หลายหมวดหมู่เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจและเห็นโทษของกุศลธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในฐานะที่ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่มากมาย ก็จะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไปจนกว่าจะถึงวันที่ดับกิเลสได้จนหมดสิ้น เมื่อนั้นก็จะเป็นผู้สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ก็จะต้องสะสมเหตุที่ดีต่อไป ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และสะสมสิ่งที่ดีต่อไป ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 21 ต.ค. 2555

อาสวะ คือ กิเลสที่หมักดอง พวกเราก็ถูกกิเลสหมักดองมานับชาติไม่ถ้วน และจะถูกหมักดองต่อไปอีกถ้าไม่อบรมปัญญา ภัยของสังสารวัฏฏ์ น่ากลัว เพราะว่าหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ ไม่รู้ว่าจากโลกนี้ไปจะไปเกิดที่ไหน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 20 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ