อย่างนี้เป็นสมถะ กับ วิปัสนาได้หรืิอไม่

 
ไก่บ้าน
วันที่  18 ต.ค. 2555
หมายเลข  21925
อ่าน  995

พระอรหันต์ฉันเพื่อบรรเทาความหิว ปุถุชนกินเพราะความหิวทำให้อยาก เอาความหิวนี่แหละตั้งสมาธิไม่ให้อยาก โยนิโสมนสิการความหิวอย่างละเอียดมากๆ แล้วจึงกินบรรเทาหิว โดยตั้งสติไม่ให้กินเพื่อความอยาก ทำอย่างนี้เป็นประจำๆ แต่ต้องระวังไม่ให้ไปติดอัตตกิลมถานุโยโค หรือ กามสุขัลลิกานุโยโค

อย่างนี้แล้ว เป็นได้ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา ได้หรือไม่

เครดิต -mes-


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา เป็นเรื่องของปัญญาเป็นสำคัญ จึงไม่มีตัวตนที่จะตั้ง ที่จะไปพยายามที่จะทำ ที่จะให้ไม่อยาก แต่การอบรมปัญญา มีการเจริญวิปัสสนา เป็นต้น เป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิด ที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน แม้ความอยากก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ก็ควรรู้ว่าเป็นแต่เพียง ธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้น การ (เจริญ) อบรมปัญญาที่ถูกต้องจึงไม่ใช่การพยายามไม่ให้เกิดความอยาก ไม่ให้เกิดกิเลส เพราะเป็นไปไม่ได้

แต่การอบรมที่ถูกต้องคือเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าไม่ใช่ เรา ที่อยาก แต่เป็นแต่เพียง ธรรม ที่เป็นไป มีโลภะ เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรม ย่อมไถ่ถอนความเห็นผิด ที่สำคัญว่า มีเราที่อยากหรือมีเราที่ไม่อยากทานอาหาร เป็นต้น ครับ

การบังคับด้วย ตัวตน จึงเป็นทางสุดโต่งประการหนึ่งคือไม่ใช่ทางสายกลาง ที่เป็นสติและปัญญา เกิดระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้นแทนที่จะพยายามไปทำ หน้าที่ที่ถูกต้องคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จะทำหน้าที่คิดถูก รู้ตามความเป็นจริง ในขณะที่สภาพธรรมกำลังเกิด ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นทางสายกลางที่แท้จริง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไก่บ้าน
วันที่ 23 ต.ค. 2555

สาธุ ขออนุโมทนาร่วมความคิดเห็นด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
อารทธวิริโย
วันที่ 23 ต.ค. 2555

ไม่เป็นอะไรเลย

ความอยาก ควบคุมไม่ได้ แต่รู้ได้ด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ซึ่งไม่ใช่ความคิด

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 24 ต.ค. 2555

ถ้าสติเกิด ระลึกรู้ว่า การกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่ประพฤติธรรม ไม่ใช่กินเพื่อความมัวเมาในอาหาร และการที่พิจารณาธรรมในขณะนั้น ต้องเป็นปัญญาของตัวเอง ที่ระลึกตรงลักษณะ ไม่ใช่ตัวตน หรือที่จะไปกำหนด เพราะธรรมทั้งหลาย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะรู้ได้ต่อเมื่อปัญญาเกิดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 27 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระุภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลส โดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ในระหว่างที่ยังไม่ดับขันธปรินิพพานก็มีชีวิตดำเนินไปตามปกติ มีสภาพธรรม เกิดขึ้นเป็นไป มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น เป็นต้น แต่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ เลย ซึ่งจะแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างแท้จริง สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจความจริง เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ก็ไม่ละเลยโอกาสของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ มีชีวิตที่ดำเนินไปตามปกติ แต่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกเพิ่มขึ้น ไม่ว่าสภาพธรรมใดเกิดปรากฏก็สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงสำคัญที่เหตุคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 23 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ