ณ กลาครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ ที่ มูลนิธิฯ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  16 ต.ค. 2555
หมายเลข  21904
อ่าน  1,235

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้สนทนาไว้ในตอนเช้า

ในชั่วโมงสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

มาฝากทุกๆ ท่านที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมรับฟัง เพื่อพิจารณา ดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจ จะต้องหมายความว่า ขณะนี้มี

เมื่อได้ฟังแล้ว ก็ค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้ ก็มี "เห็น"

โดยมาก จะพูดถึง "เห็น" บ่อยๆ เพราะว่าทั้งวันก็มีเห็นอยู่เสมอ

เหมือนกับว่า ไม่ได้ขาดการเห็นเลย

แต่ก็ไม่รู้จัก "เห็น" ทั้งๆ ที่ "กำลังเห็น" ด้วย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อฟังธรรมะ ก็จะได้ทราบว่า

สิ่งที่มีจริง แม้ได้ยิน ได้ฟัง บ่อยๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ ตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง

แต่เปลี่ยนความจริงไม่ได้ "จิต" จะเป็นอื่นไม่ได้เลย ไม่ใช่เราจะเรียกสิ่งที่ไม่มีว่า ชื่อจิต

แต่ว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ เป็น "ธาตุ" ที่เกิดขึ้นรู้

ที่ใช้คำว่า "ธาตุ" ก็เพราะเหตุว่า ใครเปลี่ยนแปลง "เห็น" ที่กำลังเห็น ให้เป็นอื่นไม่ได้

"กำลังเห็น" อย่างนี้ ชั่วขณะที่ "เห็น" เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ"

แต่ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงนั่นแหละ เกิดขึ้น จึงปรากฏ โดยที่ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลได้

ไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เพราะเกิดแล้ว และ กำลังเห็นด้วย

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เนี่ยค่ะ เหมือนได้ฟัง สิ่งที่ได้ฟังแล้ว

ซ้ำๆ แล้วๆ เล่าๆ

แต่ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้เท่านั้น

ถ้าทันทีที่ตายเดี๋ยวนี้ เกิดอีก ก็มี "เห็น" อีก มี "ได้ยิน" อีก

ก็เหมือนอย่างนี้เลย เพียงแต่ "ต่างที่" และ "ต่างบุคคล"

แต่ สภาพธรรมะ ไม่เปลี่ยน

"เห็น" ก็ยังคงมีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้นเป็นเห็น "ได้ยิน" ก็มีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้นได้ยิน

ซึ่งขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น

และเมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ "คิด" ทั้งวัน แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร

ดูเหมือนเป็นสาระ แต่ความจริง "เพียงคิด" เกิด เรื่องนั้นจึงมี พอคิดดับ เรื่องนั้นก็ไม่มีแล้ว

เพราะฉะนั้น จะเป็น "สาระ" ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น กว่าที่จะได้ "ฟัง" บ่อยๆ จนกระทั่งมี "ความเข้าใจ" จริงๆ

ว่าเกิดมาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นความต้องการ ที่จะต้องเป็นคนนี้ หรือ คนนั้น

แต่เมื่อเกิดมาแล้ว สิ่งที่เกิด มี เพราะเหตุปัจจัย

ด้วยความไม่รู้ ก็ยึดถือ ว่าเป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความยึดมั่น ในสิ่งนั้น

ยากที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียง สิ่งที่ปรากฏ

แค่นี้ค่ะ แค่คำเดียวว่า ...

... เกิด ปรากฏ แล้ว หมดไป ...

กว่าจะมีความเข้าใจที่ "มั่นคง" ก็ต้องอาศัยการฟัง เรื่องของสภาพธรรมะ

โดยนัยประการต่างๆ มากมาย โดยนัยวิถีจิต โดยนัยของพระสูตรต่างๆ

โดยนัยที่ทรงแสดงให้เห็นว่า

"ขณะที่กำลังไม่รู้ เพราะ ไม่เคยฟัง"

แต่เมื่อมีโอกาส "ได้ฟัง"

เป็นโอกาสที่จะ "เริ่มเข้าใจ" และ "รู้ความจริง" ของสิ่งที่กำลังปรากฏ

จนกว่าสามารถที่จะ "ประจักษ์แจ้ง" ใน วาจาสัจจะ คือ คำจริง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง

จนกว่าความจริงนั้น จะถึงความเป็นอริยะ ประเสริฐยิ่ง

เพราะเหตุว่า สามารถที่จะประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ในขณะนี้

โดยไม่ใช่ เพียงแค่ฟัง เท่านั้น

อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงสภาพธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง

ถ้าพูดถึง "จิต" ท่านอาจารย์ยกตัวอย่าง "เห็น"

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เราก็ไม่ทราบว่า "เห็น" เป็นเพียง "จิต"

แล้วเห็น ก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นด้วย เพราะ "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน"

แต่ "เห็น" ไม่ใช่ "เรา" อย่างไร?

เพราะท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า "เห็น" เป็น "เห็น" แต่ เห็นไม่ใช่เรา

กราบเรียนท่านอาจารย์อีกครั้งค่ะ เพราะว่า ฟังดูเหมือนว่าเข้าใจแล้ว

แต่ทุกท่านก็ยังไม่รู้ว่า เห็นนั้นไม่ใช่เราอย่างไร ค่ะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ฟังเป็นครั้งที่เท่าไหร่คะ เนี่ย?

เฉพาะเรื่อง "เห็น" เรื่องเดียว นะคะ หลายครั้งมาแล้ว

แต่ว่า ฟัง "เรื่องอื่นๆ " มากยิ่งกว่า "เรื่องเห็น" กี่เท่า?

เพราะฉะนั้น การที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไม่เคยคิด ที่จะเข้าใจถูกต้อง

กลับไปคิดถึงเรื่องอื่น หลังจากที่เห็นแล้ว ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ

ทำไมเราจะต้องมากล่าวถึง "เรื่องเห็น" ซึ่งดูว่าเป็นสิ่งธรรมดา

แต่ถ้าไม่มีเห็นเลย จะมีเรื่องต่างๆ ได้ไหม?

ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นเลย จะมีเรื่องต่างๆ ได้ไหม? ไม่ได้

เพราะฉะนั้น จะนับครั้งก็คงไม่ถ้วน ว่าเราจะพูดถึงเรื่องเห็นอีกเท่าไหร่?

แต่ก็พูดอีก ซ้ำอีก

จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่า เริ่มจะเห็นจริง เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง

ที่กล่าวถึง สิ่งที่กำลังเห็น ทีละเล็ก ทีละน้อย

แต่ว่าไม่มากเลย เมื่อเทียบกับที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน ในสังสารวัฏฏ์ที่แสนนาน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ฟัง ซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก...จนกว่า...ไม่ใช่เพียงแต่นึกตาม...

แต่เดี๋ยวนี้ "เห็น" เป็นอย่างนี้

หมายถึง "ลักษณะ" จริงๆ ที่ "กำลังเห็น"

ว่า "เห็นขณะนี้...เป็นอย่างนี้..."

เพราะ...เกิด...แล้ว...เห็น...

แค่...เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้...คือ..เกิด...แล้ว..เห็น...แค่นี้ค่ะ

ก็จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น

จนกว่า ได้ฟังอีกเมื่อไหร่ ก็สามารถที่จะ ค่อยๆ ...คลาย...

...ความยึดถือสภาพธรรมะ...ว่าเป็นเรา...

เพราะ มีความเข้าใจขึ้น แม้ในขั้น "ความคิด" และ ในขั้น "จำ"

พูดแล้ว "เรื่องเห็น"

จำ "เรื่องอื่น" คิดถึง "เรื่องอื่น" ใช่มั้ยคะ?

เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ ที่พูดเรื่องเห็น ในขณะที่กำลังเห็น

แล้วก็เข้าใจเห็น ว่าเป็นอย่างที่กล่าวถึง คือ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง ธรรมดาอย่างนี้

วันหนึ่ง...ก็สามารถที่จะรู้ว่า...

เป็นเพียงสิ่งที่...เกิดขึ้น...ปรากฏ...แล้วก็...หมดไป....

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ต.ค. 2555

เหมือนกับว่า ไม่ได้ขาดการเห็นเลย

แต่ก็ไม่รู้จัก "เห็น" ทั้งๆ ที่ "กำลังเห็น" ด้วย

ขออนุโมทนาในกุศลจิตพี่วันชัย และ ทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
raynu.p
วันที่ 16 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 16 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ขณะที่กำลังไม่รู้ เพราะ ไม่เคยฟัง"

แต่เมื่อมีโอกาส "ได้ฟัง"

เป็นโอกาสที่จะ "เริ่มเข้าใจ" และ "รู้ความจริง" ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ...

...กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 16 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ ทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 17 ต.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
หลานตาจอน
วันที่ 19 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 19 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
napachant
วันที่ 20 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ