บ้าน คือ วิมาน

 
tookta
วันที่  8 ต.ค. 2555
หมายเลข  21860
อ่าน  1,944

เคยมีคำกล่าวที่ว่าบ้านคือวิมาน แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใจของเราอยากจะทำบ้านให้เป็นวิมานที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม และดูแลบ้านให้ครบ หลัก ๕ ส

เพราะแม่ของเรา ชอบเก็บของที่ผู้อื่นนำมาทิ้งเข้าบ้าน (ใครย้ายบ้านทีก็ขนของที่เขาทิ้งมาเก็บไว้ที่บ้าน) เวลาเราจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ได้ไม่เกิน ๒ วัน แม่เราก็ทำเละหมดเลย เวลาคนอื่นมาบ้านเราเขาก็จะถาม และบางคนก็ตำหนิเราว่าไม่จัดบ้าน ไม่เก็บของทิ้งบ้าง (เราเองก็พูดไม่ออกว่า เราอยากจะเก็บทิ้ง แต่เราทำไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะต้องทะเลาะกับแม่) เวลาเราอารมณ์เสีย เราก็ต้องเก็บอาการเพราะไม่อยากจะทะเลาะกับแม่ ถ้าเป็นคนอื่นเราก็คงจะว่ากล่าวเขาได้ แต่นี่เป็นแม่ของเราก็คงจะทำอย่างนั้นไม่ได้ นี่คงเป็นเวรกรรมของเรานะที่จะต้องมีความอดทนอย่างนี้ (ไม่รู้ว่าจะทนได้สักแค่ไหนนะ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บ้านสกปรกไม่เป็นระเบียบ ก็สามารถจัดให้ดูเรียบร้อยสวยงาม เป็นระเบียบได้ แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปต่อว่าบุคคลผู้มีพระคุณ คือ มารดาบิดา ความอดทนเป็นธรรมที่ควรมีเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณ [ความโกรธไม่ควรที่จะเกิด รวมไปถึงทุกคนด้วย ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่มีพระคุณเท่านั้น] สิ่งไหนที่ท่านทำบกพร่อง เราก็สามารถจัดใหม่ให้ดีเหมือนเดิมเป็นระเบียบเหมือนเดิมได้

ควรที่จะได้พิจารณาอยู่เสมอว่า มารดาบิดา เป็นบุพการีผู้ที่กระทำการอุปการะมาก่อน เป็นผู้ที่มีความเอาใจใส่เลี้ยงดูให้บุตรธิดาเจริญเติบโตอยางปลอดภัย กว่าจะเลี้ยงลูกแต่ละคน จนกระทั่งเจริญเติบโตมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายนั้น ท่านเหนื่อยมากจริงๆ เมื่อลูกเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นกลางดึก ก็พาไปหาหมอรักษาให้ลูกหายเป็นปกติ ... ฯลฯ ... เมื่อนึกถึงพระคุณของท่านอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ควรทำที่สุดที่บุตรธิดาจะพึงกระทำตอบแทนท่าน ก็คือ เลี้ยงดูท่าน กระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ควรตั้งใจทำหน้าที่ของบุตรธิดาให้ดีที่สุด และยิ่งถ้าได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจถึงการสะสมของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแท้ที่จริงก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป

จิตใจย่อมเบาสบายด้วยความเข้าใจ ไม่หนักด้วยอกุศลธรรม ครับ.

ขอเรียนเชิญสหายธรรมทุกๆ ท่านร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การใช้ความอดทนโดยการพูด ด้วยการอธิบายเหตุผล ในประการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำให้เป็นแหล่งของสัตว์ที่สะสมเชื้อโรคเช่น แมลงสาบ หนู เป็นต้น ที่เกิดจากความรก สกปรกของบ้านที่เต็มไปด้วยของ รวมทั้งอาจมีสัตว์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น สัตว์เลื้อยคลาน ทั้ง งู ตะขาบ ที่สามารถหลบซ่อนได้ในพื้นที่รกรุงรัง ก็จะเป็นอันตรายกับคนอยู่ ซึ่งก็อธิบายเหตุผลในข้อนี้ครับว่า ก็เป็นอันตรายกับตัวคุณแม่เองด้วย แน่นอนครับว่า คุณแม่ก็ยังไม่ยอมรับในส่วนนี้ทีเดียว เพราะ ยังเป็นผู้ยินดีพอใจ อยากได้ในสิ่งต่างๆ แต่เมื่อพูดบ่อยๆ และก็ทยอยทิ้งบางสิ่งที่ไม่มาก วันละชิ้น ก็จะทำให้ไม่รกรุงรัง และ ไม่ต้องทะเลาะมากมาย เพราะไม่ไปหักหาญน้ำใจทันที ครับ

เหมือนดังเช่นการละโลภะ ไม่ใช่การจะละโดยละได้ทันที เพราะ มีปัญญาน้อย แต่จะต้องค่อยๆ อบรมปัญญาอย่างยาวนาน ทีละน้อย จนในที่สุด ก็ค่อยๆ สามารถละโลภะ ความติดข้อง ยินดีพอใจได้ ด้วยการรู้จักโลภะ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และเห็นโทษตามความเป็นจริงด้วยปัญญา และ ใช้ระยะเวลายาวนาน

เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน คุณแม่สะสมกิเลสมามาก และแม้ตัวเราเองก็ใช่ว่ากิเลสน้อย ก็มีกิเลสมาก กิเลสแก้กิเลสด้วยกันไม่ได้ แต่ ปัญญา ความเข้าใจ ย่อมแก้กิเลสได้ คือแก้ที่ความเข้าใจของตนเอง และกิเลสของตนเองก่อน เมื่อเรามีความเข้าใจถูกขึ้น ก็สามารถอธิบายเหตุผล ความเป็นจริงให้กับคุณแม่ทีละน้อย แม้คุณแม่จะไม่เปลี่ยนความคิด แต่เราก็เริ่มให้ความคิดที่ถูกด้วยความอดทน และ แม้เหตุการณ์จะไม่เป็น หรือ จะเป็นไปอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามในอนาคต ก็ทำเท่าที่ทำได้ และ ต้องไม่ลืมความเป็นไปของสภาพธรรมว่าเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ แม้แต่ตัวเราเองที่คิดว่าบังคับได้ ก็ไม่เป็นไปตามที่ใจคิดนึกเลย นี่คือความเที่ยงแท้แน่นอนของธรรมที่จะต้องเป็นอย่างนั้น คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

เพราฉะนั้น จึงไม่เป็นผู้จัดการโลก ในความหมายที่ว่า เมื่อทำเต็มที่แล้ว ก็ไม่บังคับจัดการอันจะทำให้เกิดอกุศล แต่ก็จัดระเบียบบ้านเท่าที่ทำได้ มาถึงตอนเย็นก็เก็บเท่าที่ทำได้ และถ้าเริ่มไม่เป็นระเบียบก็จัดให้เรียบร้อยใหม่ และถ้าไม่เป็นระเบียบอีก ก็ตามเหตุปัจจัยที่เป็นไปอย่างนั้น ซึ่ง การจัดเก็บของให้ ด้วยความหวังดี ก็เป็นการเจริญเมตตาลับหลัง ก็เป็นการเจริญกุศลด้วย ถ้าคิดถูก ซึ่งหากเข้าใจความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เข้าใจความเป็นไปของชีวิตที่ไม่สามรถบังคับได้ ใจก็เบาด้วยกุศลธรรม ก็ไม่ไปเก็บขยะ เข้ามา เพราะ ขยะจริงๆ ที่เราคิด ว่าเป็นสิ่งของต่างๆ รกรุงรัง แต่ของเหล่านั้น ก็ไม่ได้มีโทษกับชีวิต จิตใจ ที่ทำร้ายใจของผู้มีสิ่งของมากมายจริงๆ

แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นขยะ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ แต่นำมาซึ่งโทษ และ รกอยู่เต็มหัวใจ ก็คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจของบุคคลนั้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 9 ต.ค. 2555

ความเข้าใจพระธรรมที่ค่อยๆ สะสม จนเกิดปัญญา กุศลธรรม ก็จะค่อยๆ ละคลายกิเลส ที่เป็นขยะไว้ในจิตใจ และไม่เก็บขยะไว้ในใจ ไม่เก็บของที่รกรุงรัง คือ กิเลสไว้ในจิตใจให้มากขึ้น เพราะ อาศัยการเข้าใจธรรม และ ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจธรรมนี้เอง ย่อมสามารถละขยะ ที่หมักหมมในจิตใจได้หมดสิ้น ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

ขยะในใจ

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

เบิกบานอยู่บนกองขยะ

บ้าน คือ วิมาน ไม่ใช่เพียงแต่แค่ วัตถุ สิ่งของเรียบร้อย เพราะ สิ่งที่สำคัญว่าเป็นวิมาน ก็เป็นพียงใจที่นึกคิดมีความสุข ยินดีพอใจ ด้วยโลภะ ในขณะนั้น คือ อยู่แล้วสบายใจด้วยโลภะ ด้วยความสุขที่เกิดจากโลภะ จึงสำคัญว่าเป็นวิมาน

แต่ บ้าน สถานที่ที่น่ารื่นรมย์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงคือ สถานที่ที่มีบุคคลที่ไม่มีกิเลส หรือ สถานที่ที่มีบุคคลที่มีคุณความดี มีคุณธรรม สถานที่เหล่านั้นจึงเป็นสถานที่รื่นรมย์ เป็น วิมานจริงๆ เพราะ กุศลธรรมนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง และนำมาซึ่งความรื่นรมย์ เบาสบาย แต่ อกุศลธรรม นำมาซึ่งความหนัก

เพราะฉะนั้น บ้านที่เป็นวิมานที่ดี คือ เป็นสถานที่เป็นบ้านที่ประกอบไปด้วย บุคคลที่มีคุณความดี เมื่อมีคุณความดี ก็ต่าง หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในความสุขที่เป็นกุศลธรรม ครับ

ดังนั้น การทำความดีให้แก่กัน มีความอดทนต่อมารดา บิดา เข้าใจที่ท่านเป็นอย่างนั้นด้วยเมตตา อยู่ด้วยนึกถึงบุญคุณของท่าน มากกว่า ความผิดเพีงเล็กน้อย การเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นกุศลจิต บ้านนั้นก็เป็นวิมานแล้ว เพราะเป็นคุณความดีที่เกิดขึ้นประพฤติเหมาะสมกับบิดา มารดา เพราะใจที่ดี ย่อมเป็นวิมานที่ทำให้บ้านร่มเย็นด้วยกุศลธรรม แม้บ้านจะรกบ้างเป็นบางเวลา ครับ


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 502

ข้อความบางตอนจาก รามเณยยกสูตร

ว่าด้วยภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์

[๙๒๐]  สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วทรงถวายบังคมแล้วประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประทับเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สถานที่เช่นไรหนอ เป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์.

[๙๒๑]  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า

อารามอันวิจิตร ป่าอันวิจิตร สระโบกขรณีที่สร้างอย่างดี ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อันแบ่งออก ๑๖ ครั้ง แห่งภูมิสถานอันรื่นรมย์ของมนุษย์ พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์.

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 10 ต.ค. 2555

แต่ บ้าน สถานที่ที่น่ารื่นรมณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ สถานที่ที่มีบุคคลที่ไม่มีกิเลส หรือ สถานที่ที่มีบุคคลที่มีคุณความดี มีคุณธรรม สถานที่เหล่านั้นจึงเป็นสถานที่รื่นรมย์ เป็น วิมานจริงๆ

เป็นคำกล่าวที่ตรงและเป็นสัจจธรรมจริงๆ เลยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น, อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

และขออนุญาตเรียนสนทนากับคุณ Tookta ด้วยว่า ที่บ้านผมก็มีสภาพที่ไม่น่าจะต่างกันแต่ก็พยายามไม่นำขยะภายนอก เข้ามาเป็นขยะภายในใจ (แม้บางทีจะจัดบ้านเรียบร้อยมาก แต่หากติดข้องแล้ว ก็เป็นขยะภายในทันทีไปอีกแบบเลยนะครับ)

ตรงกันข้าม หากพิจารณาขยะภายนอก แล้วจัดการด้วยความเข้าใจ ดังที่อาจารย์ได้อธิบายมาข้างต้น ก็จะช่วยลดขยะภายในที่เป็นอกุศลธรรมให้เบาบางลดไปได้บ้างนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 10 ต.ค. 2555

ที่พักชั่วคราว แล้วก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ขณะที่เราให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา. วิมาน คือสวรรค์ก็รออยู่แล้วข้างหน้า สวยงามกว่าวิมานมนุษย์หลายร้อยเท่า ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tookta
วันที่ 12 ต.ค. 2555

ขอขอบคุณทุกท่านที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นิรมิต
วันที่ 13 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาคุณเจ้าของกระทู้ที่เห็นโทษของการทะเลาะด้วยอกุศล

และขอกราบอนุโมทนาคำแนะนำโดยธรรมของท่านวิทยากรทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tookta
วันที่ 26 ธ.ค. 2555

ได้พูดคุยกับแม่ และได้พูดจูงใจแม่ว่าเราจะเก็บของที่แม่เก็บมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์โดยจะเก็บของให้เป็นหมวดหมู่ (แล้วเราก็บอกแม่ว่าให้คัดของที่ไม่เอาไปบริจาค แล้วค่อยเก็บให้เป็นหมวดหมู่) แม่ของเราก็เห็นด้วย เรารู้สึกดีใจจังเลย เรากับแม่ของเราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องนี้อีก แต่ก็ไม่รู้ว่าแม่จะเก็บของมาเพิ่มอีกหรือเปล่านะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ