มม ปุตฺโต - บุตรของเรา มม ธีตา - ธิดาของเรา

 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่  23 ก.ย. 2555
หมายเลข  21780
อ่าน  1,517

สมัยพุทธกาล สาวกผู้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลแล้ว พระพุทธองค์จะตรัสเรียกโดยใช้คำว่า มม ปุตฺโต บุตรของเรา มม ธีตา ธิดาของเรา (จะไม่ตรัสเรียกเช่นนี้กับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน) บุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะเรียกผู้ที่เป็นศิษย์เช่นนั้นบ้างได้หรือไม่ เช่น

พระสารีบุตรได้สำเร็จโสดาบันเพราะฟังธรรมจากพระอัสสชิ พระอัสสชิเคยเรียกพระสารีบุตรโดยใช้คำว่า มม ปุตฺโต หรือไม่

พระอานนท์บรรลุโสดาบันเพราะฟังธรรมจากพระปุณณะมันตานีบุตร พระปุณณะเคยเรียกพระอานนท์ว่า มม ปุตฺโต หรือไม่

และเราก็มีคำว่า ชินบุตร พุทธชิโนรส ซึ่งมีความหมายว่า เป็นลูกของพระพุทธเจ้า

พระสารีบุตรเคยเรียกพระอัสสชิว่า บิดา หรือไม่

พระอานนท์เคยเรียกพระปุณณะว่าบิดา หรือไม่

ก็เป็นเรื่องที่ควรศึกษค้นคว้าดู ถ้าได้ข้อยุติในเรื่องนี้ เราก็จะได้เห็นวัฒนธรรมในการใช้ถ้อยคำภาษา ซึ่งจะเป็นแนวทางให้พวกเราใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกันต่อไป

ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นบุตร คือ ผู้ที่เกิดจากบุคคลนั้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่า เกิดจากอะไร เกิดเป็นอะไร ซึ่งก็แสดงโดยหลากหลายนัย ครับ

อย่างเช่น ผู้ที่ให้กำเนิดเกิดขึ้น ตามที่ทางโลก เข้าใจกัน คือ บิดา มารดาในชาติปัจจุบัน ให้กำเนิดบุตร ผู้นั้นก็ชื่อว่า เป็นบุตรของ บิดา มารดานั้น เพราะอาศัยท่านทั้งสองจึงเกิดมาได้ เช่น พระสารีบุตร เป็นบุตรของนางสารีพราหมณี แต่เมื่อสืบหา โดยสัจจะ ความจริง ว่าเหตุอะไรที่ทำให้เกิด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เพราะมีอวิชชา เปรียบเหมือนมารดาของบุตร ที่ทำให้เกิดทารก และมีกรรมที่เป็นเหมือนบิดาที่ทำให้เกิดบุตรขึ้น เพราะฉะนั้นโดยนัยที่เป็นสัจจะ ที่เกิดมาได้ก็เป็นบุตรของอวิชชาและกรรมของปุถุชนทั้งหลาย

แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังธรรม แล้วได้บรรลุธรรม ก็ชื่อว่า มีบิดา คือ พระพุทธเจ้า เหล่าสาวกที่บรรลุธรรมก็ชื่อว่าเป็นบุตร แม้จะฟังธรรมจากใครก็ตาม ไม่ว่าจากพระอัสสชิ จากพระสารีบุตร จากสาวกรูปอื่น แล้วได้บรรลุธรรม ต่างก็เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่ว่า พระธรรมที่เป็นหนทางการดับกิเลส พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ค้นพบ และทรงแสดง ผุู้อื่นเป็นเพียงผู้อ่านสาส์นเท่านั้น ไม่ใช่เจ้าของพระธรรม แต่พระพุทธเจ้า ทรงเป็นธรรมราชา เพราะฉะนั้น พระสาวกทั้งหลายที่บรรลุธรรม จึงเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะ มี ธรรมเนรมิต ให้เกิดขึ้น เกิดใหม่ เป็นบุตรขึ้น ด้วยการเกิดที่เป็น อริยชาติ การเกิดด้วยความประเสริฐ โดยมีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้เกิดขึ้น ครับ

ซึ่งในอรรกถาแสดงไว้ครับว่า ผู้ที่เป็นโอรส เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เพราะ เกิด ด้วยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เมื่อได้ฟัง ย่อมได้บรรลุ และเมื่อได้บรรลุแล้ว บุตรย่อมได้รับมรดกอันล้ำค่า คือ ถึงความสงบจากกิเลส และ ถึงพระนิพพาน

อันเป็นมรดกที่ประเสริฐสุด และ ได้รัตนะ คือ คุณธรรมประการต่างๆ อันอาศัยพระธรรมจากพระพุทธเจ้าที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ไม่ใช่พระสารีบุตร พระอัสสชิ ค้นพบ จึงชื่อว่าเป็นบุตร เป็นโอรสของพระพุทะเจ้า ไม่ใช่ เป็นบุตร เป็นโอรส ของ พระสาวกรูปอื่นๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ย. 2555

อีกนัยหนึ่ง สาวกทั้งหลายชื่อว่าเกิดจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เพราะ อาศัยพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แม้จะมีผู้อื่นไปแสดงให้คนอื่นบรรลุพระธรรมเหล่านั้น ก็ต้องมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสครั้งแรก ผู้ที่บรรลุธรรม จึงอาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ก่อนใคร จึงชื่อว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ด้วยการเกิดจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ครับ

อีกนัยหนึ่ง พระสาวกทั้งหลายเกิดจากพระธรรม มี ธรรมเนรมิต เพราะอาศัยการได้ฟัง ศึกษาพระธรรม ก็ทำให้บรรลุธรรม เกิดเป็นคนใหม่ ด้วยจิตใหม่ที่สะสมปัญญา และ ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ครับ

สรุปได้ว่า พระสาวกที่บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะอาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และพระองค์ทรงค้นพบองค์แรก แม้ใครกล่าว ก็ชื่อว่าเป็นผู้อ่านสาส์นของพระราชา เพราะมีพระพุทะเจ้าเป็นธรรมราชาและเป็น เจ้าของพระธรรม ครับ

ดังนั้น บุตร คือ สาวกทั้งหลาย จึงเป็นผู้มีความกตัญญู ด้วยเหตุที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและเห็นจริงตามนั้น

ส่วนพระพุทธเจ้าทรงเป็นบุพพการีสูงสุด ด้วยให้ความเข้าใจ ให้ปัญญา ให้การเกิดใหม่ด้วยการเกิดในอริยชาติ ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมละกิเลส ถึงพระนิพพาน โดยไม่ได้อาศัยเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด โดยเพียงให้สัตว์โลกพ้นจากกิเลสและสังสารวัฏฏ์เท่านั้น จึงชื่อว่า บุพพการีอันสูงสุด ครับ

แม้ตอนนี้เป็นบุตร ของบิดา มารดา โดยสมมติทางโลก และ ก็ยังจะต้องเป็นบุตร ของอวิชชาที่เปรียบเหมือนมารดา และ กรรมที่เปรียบเหมือนบิดา ที่จะทำให้เกิดต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นไปจากทุกข์ แต่ก็อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็จะถึงความเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ได้ เพราะประจักษ์ความจริง ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ว่ามีแต่สภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล จนถึงการบรรลุธรรม ครับ

เชิญคลิกอ่านข้อความในพระไตรปิฎกที่อธิบาย เรื่องการเป็นบุตร เป็นโอรสของพระพุทธเจ้า ครับ

พระสาวก โอรสของพระพุทธเจ้า [อิติวุตตก]

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ด้วยครับ

โดยทั่วไปแล้ว บุตร มีหลายประเภท เช่น บุตรที่เกิดจากตน กล่าวคือ บุตรที่มีมารดา บิดาเป็นแดนเกิด, บุตรที่ศึกษาเล่าเรียนจากอาจารย์ คือ เป็นลูกศิษย์ บุตรที่เขาให้เรียกว่า บุตรบุญธรรม เป็นต้น

(สรุปอ้างอิงจาก กัฏฐหาริชาดก [เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก [เล่มที่ 55] ขุททก[เล่มที่ 55] นิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และทรงแสดงพระธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึง ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ ก็เพื่อที่จะได้อนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลสเหมือนอย่างพระองค์

ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นผู้เกิดใหม่ในทางธรรม เป็นผู้เกิดจากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จากที่เคยเป็นผู้มากด้วยกิเลสประการต่างๆ มีความไม่รู้ ความติดข้อง ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ก็เกิดเป็นผู้มีความเข้าใจถูก เห็นถูก ขัดเกลากิเลสจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ในที่สุด เป็นผู้เกิดใหม่ด้วยความเข้าใจพระธรรมจริงๆ ไม่ว่าจะมาจากตระกูลใด วรรณะใดก็ตาม

พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายในอดีต ไม่ว่าจะได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระองค์โดยตรง หรือ ได้ฟังจากพระอริยสงฆ์ท่านอื่นๆ ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งนั้น เพราะพระธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษา ก็มาจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ เหมือนกันทั้งหมด เพราะบุคคลผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ก็จะมีวาจาสัจจะที่แสดงถึงความจริง ให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พระสาวกทั้งหลายล้วนเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระบรมศาสดา ที่ทรงแสดงความจริง แสดงหนทางที่เป็นไปเพื่อดับกิเลส และแต่ละท่านก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนๆ

สำหรับในยุคนี้สมัยนี้ คงไม่ได้สำคัญอยู่ที่การใช้คำ แต่สำคัญอยู่ที่ว่า มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของพระธรรม และน้อมที่จะศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบหรือไม่ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง

แม้จะใช้คำว่า "ชินบตร, พุทธบุตร" แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ แล้ว ก็ย่อมไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลยครับ

ยุคนี้สมัยนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ก็ยังเป็นโอกาสที่ผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา สะสมอบรมเจริญปัญญาต่อไป

และพอกล่าวถึงตรงนี้ ก็ทำให้กระผมคิดถึงประโยคข้อความธรรม ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวเตือนไว้ ไพเราะทีเดียวว่า

"พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่า คือ พระธรรม แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจ ผู้นั้นจะไม่ได้รับมรดกเลย"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ อ. ผเดิม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่าน น.อ. ทองย้อย ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ปุถุชนไม่ชื่อว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า

ที่ชื่อว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เพราะมีดวงตาเห็นธรรม ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์. ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 27 ก.ย. 2555

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 10 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ