สภาวะใด

 
ไม่มีตัวตน
วันที่  6 ก.ย. 2555
หมายเลข  21689
อ่าน  1,160

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ผมมีปัญหาข้องใจรบกวนผู้รู้ชี้แจงหน่อยครับ

แบบนี้ครับ ใครก็ตามแต่ที่เคยพูดคุยกับผมแบบสนิท (พ่อ แม่ เพื่อน แฟน ญาติ พี่ น้อง) หากเขานึกถึงผม ผมจะรู้ในทันที รู้แม้กระทั่งว่าตอนที่เขานึกถึงผม เขากำลังดีใจ เสียใจ หรือ กำลังร้องไห้อยู่ (ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองบ้าคิดมากไปเอง) แต่เมื่อผมโทรศัพท์กลับไปที่คนๆ นั้นเขาจะแปลกในทันที และที่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผมเอ่ยกับเขาว่า ''ร้องไห้ทำไม'' ยิ่งทำให้เขาตกใจหนักเข้าไปอีก และถามกลับมาว่า รู้ได้ยังไง ...

ปัญหาของผมคือ มันทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง (ในบางครั้งที่มีใครนึกถึงเรา) ซึ่งอาจจะเป็นเวลาไม่นานเท่าไร ผมอยากทราบว่า พอจะมีทางแก้ไขไหมครับ แก้ไขยังไงก็ได้ให้มันดีขึ้น

ขอขอบพระคุณท่านที่กรุณาอ่านจนจบ

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิธีทางแก้ไขที่ดี และถูกต้องที่สุด คือ

การแก้ไขด้วยการมีความเข้าใจ มีปัญญา เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ ปัญญาที่เข้าใจถูกต้อง ย่อมจะแก้ไข ความทุกข์ที่เกิดจากความคิดของตนเอง เพราะ ปัญหา คือ ไม่เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นกับจิตใจของตนเอง ว่าคืออะไรและอย่างไร เพราะในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูป และที่สำคัญ คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่ปัญหากลับเกิดขึ้น เพราะ สัตว์โลกมีอวิชชา ความไม่รู้ และมีกิเลสประการต่างๆ มีความเห็นผิด และ ความติดข้อง เป็นต้น จึงยึดถือในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ความคิดของตนเอง ว่าเป็นเราที่คิด เป็นคนนั้นคนนี้ มีสัตว์ บุคคลจริงๆ เมื่อยึดถือด้วยความเข้าใจผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล สัตว์โลกก็ย่อมเดือดร้อนในความคิดที่ไม่ได้เข้าใจความจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม เพราะฉะนั้นหากกลับมาที่ความเข้าใจถูกว่า อะไรมีจริงในขณะนั้น เรื่องราวที่คิด ที่คิดว่ามีพี่ น้อง ญาติ คนใกล้ชิด แท้ที่จริง ก็เป็นเพียงเรื่องที่คิด ที่เป็นบัญญัติ เรื่องราวที่ไม่มีจริง ไม่มีลักษณะ แต่สิ่งที่มีจริง ในขณะที่คิด คือ จิตที่คิดเท่านั้น ไม่มีใครในนั้น เพราะ เป็นแต่เพียงจิตที่ทำหน้าที่คิด ไม่มีเราที่คิด และ ไม่มีใคร นี่คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา เพราะ ปัญหาเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากกุศล หรือ ปัญญา ความเห็นถูก แต่ปัญหาเกิดขึ้นจาก อกุศล ความเข้าใจผิด การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่อกุศล แก้ให้มีปัญญา ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น คิดถูกว่าความจริงเป็นอย่างไรก็จะค่อยๆ ละคลายกิเลส ละคลายทุกข์อันเกิดจากความสับสนในเรื่องความคิด และ เรื่องที่คิดว่าอะไรมีจริง และ เป็นเรา เป็นเขา มีจริงหรือไม่

เพราะ แท้ที่จริงมีแต่ธรรมเป็นไป และ ไม่มีใครห้ามความคิดได้ สะสมมาอย่างไรก็คิดอย่างนั้น เพียงแต่ว่า ควรพิจารณาตามความเป็นจริงว่า การคิดนั้น มีประโยชน์หรือไม่ เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สะสมความคิดใหม่ที่เป็นประโยชน์ ด้วยการคิดด้วยความเห็นถูก คิดในพระธรรมของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นวิธีแก้ที่ดีที่สุด เพราะ ทำให้เกิดปัญญา

เมื่อมีปัญญา ความเห็นชอบ ก็เกิดสัมมาสังกัปปะ คือ คิดชอบ คิดถูกต้องมากขึ้น อันอาศัยการอบรมด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ดังนั้น จึงอยู่ในโลกของความคิด และ คิดว่าเป็นเราที่คิด มีคนอื่น ในความคิดของตนเอง แก้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจถูกว่า คิดมีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ครับ

คำบรรยายจากท่านอ.สุจินต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

- จริงๆ นะคะ เราเกิดมาในโลกคนเดียวหรือเปล่า เวลาเราเห็น เราเห็นคนเดียวหรือเปล่า จิตหนึ่งขณะค่ะ ไม่เป็นของใครเลย แต่หลังจากเกิดแล้วมีเห็น จำ จำได้ว่าเป็นคน เป็นหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดของตัวเองหลังเห็น แล้วแต่ว่าเราจะคิดอะไรใช่ไหมคะ จะคิดถึงเพื่อน จะคิดถึงญาติ จะคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่าขณะที่คิดเนี่ยค่ะ เหมือนมีหลายคน ทั้งโลก ทั้งประเทศ แต่ความจริงหนึ่งขณะจิตที่คิด

เพราะฉะนั้น จริงๆ ถ้าเข้าใจธรรม จะเข้าใจความหมายที่ว่า อยู่คนเดียวในโลก ในโลกมืดหรือโลกสว่าง มาอีกแล้ว ที่อยู่คนเดียวเนี่ยค่ะ อยู่ในโลกที่มืดหรือในโลกที่สว่าง

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 7 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แสดงให้เห็นถึงธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ปราศจากธรรมเลย แม้แต่ขณะเดียว แม้แต่ในเรื่องของความคิดนึก ขณะที่คิดถึงคนอื่น ก็เป็นธรรมที่มีจริง เพราะ เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้ผูกพัน พูดคุยกัน มีความจำได้ในเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ จึงทำให้คิดถึง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

เป็นธรรมดาที่คนเราก็คิด มากกว่าพูดอยู่แล้ว ที่จะคิดดี เป็นไปกับด้วยความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจากที่เคยคิด วุ่นวายไปกับอกุศลประการต่างๆ ก็จะทำให้กลับเข้ามาคิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ได้การทักคนนั้นคนนี้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เพราะไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยในขณะนั้น

ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปในทางที่จะทำให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ปัญญาเท่านั้น ที่จะนำพาเราไปสู่ทางที่ดี ที่ถูก ที่ควรยิ่งขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 7 ก.ย. 2555

สิ่งนั้นไม่ใช่สาระ เป็นความคิดถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปสนใจหรอก

ที่สำคัญคือการอบรมปัญญา ด้วยการศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะให้เข้าใจดีกว่าจะไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ออกจากวัฏฏะ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เข้าใจ
วันที่ 7 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 7 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"การแก้ไขด้วยการมีความเข้าใจ มีปัญญา

เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ"

"ปัญญาเท่านั้น ที่จะนำพาเราไปสู่ทางที่ดี ที่ถูกที่ควร ยิ่งขึ้น ครับ"

"ฟังธรรมะให้เข้าใจดีกว่าจะไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ออกจากวัฏฏะ ค่ะ"

"ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 8 ก.ย. 2555

สาระสำคัญของชีวิตที่ได้เกิดมาก็เพื่อความเข้าใจธรรม ความไม่รู้มีมากจึงยึดถือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน ก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน แม้หลังเห็น หลังได้ยิน ก็คิดไปในเรื่องราว สัตว์ บุคคลต่างๆ มากมาย ซึ่งไม่มีสาระเพราะไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง

ชีวิตส่วนใหญ่หลังเห็น หลังได้ยิน ก็จะคิดเป็นอกุศลตามการสะสมจริงๆ จึงควรที่จะพิจารณาถึงสาระของชีวิตที่เกิดมา ควรที่จะอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะละคลายความไม่รู้ ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส จนกว่าจะดับกิเลสจนหมดสิ้น ไม่ต้องมาเกิดอีก เมื่อนั้นจึงพบความสงบสุขที่แท้จริง ไม่ต้องมาเกิดอีก

แต่ขณะนี้เต็มไปด้วยความไม่รู้ และกิเลสที่ต้องดับก่อน ก็คือความเห็นผิดที่ยึดสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล วัตถุสิ่งของต่างๆ จึงควรฟังให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริงๆ เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่เรา คิดก็มีจริงๆ ไม่ใช่เรา เป็นเพียงนามธรรมที่เกิดขึ้นคิด เกิดเพราะเหตุปัจจัย

สภาพธรรมที่เกิดขึ้นล้วนเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เราคิด ไม่มีเราเห็น มีแต่สภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน นี้เป็นความจริงที่ควรอบรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปคิดติดตามแต่เรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่ทำให้รู้ความจริงได้เลย

แม้แต่คิดขณะนี้ก็ยังคิดว่าเป็นเรา เห็นความเหนียวแน่นของกิเลสที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มีหนทางเดียวเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่น ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็คือการอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ปรากฏโดยความเป็นธรรมจริงๆ ไม่มีเรา

ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ...

ต้องเอาเราออกจากสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมด

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไม่มีตัวตน
วันที่ 10 ก.ย. 2555

ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมชี้แจงแนวทางให้ผมได้ฟังได้เข้าใจ ... ขออนุโมทนาครับ

ขอถามอีกนิดนึ่งครับ ผมอยากทราบว่าความรู้สึกที่ผมอธิบายนั้น มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร อันที่จริง ผมไม่ใช่คนคิดมากนะครับ (แบบว่าแทบจะไม่เก็บสิ่งใดมาเป็นอารมณ์ไว้นานๆ เลยก็ว่าได้)

แต่ในบางครั้งที่เรากำลังมีความสุข ซึ่งเรารู้ดีว่ามันเป็นเวทนาที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา จู่ๆ ก็มีเวทนาที่รู้สึกทุกข์เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกได้ว่าไม่ใช่เวทนาที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา แค่อยากทราบว่า สิ่งใดเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องรับรู้ด้วยครับ ... รบกวนท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงให้กระผมเข้าใจถึงสาเหตุหน่อยครับ ...

ขอบพระคุณครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ