เปรตทำร้ายมนุษย์ได้หรือไม่

 
นิรมิต
วันที่  3 ก.ย. 2555
หมายเลข  21657
อ่าน  3,587

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมทุกท่าน

มีความสงสัยว่า เปรตนี่เขาทำร้ายมนุษย์อย่างเราๆ ได้หรือเปล่า เพราะเปรตบางจำพวกก็มีฤทธิ์ต่างๆ แล้วถ้าจะกระทำ กระทำด้วยเหตุอะไร เพราะเปรตเอง เขาก็รับทุกข์อยู่แล้ว ด้วยอกุศลกรรม ยังจะกระทำอกุศลอีกเพื่ออะไร มีปรากฏใน อรรถกถา ตอนใดบ้างไหมครับ

เพราะอย่างเทวดา ก็ทราบว่า สามารถทำร้ายมนุษย์ได้ แต่ท่านก็ไม่ทำอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นเทวดา แต่สงสัยอีกอย่าง เรื่องยักษ์ อันนี้ท่านก็เป็นเทวดา ใช่หรือเปล่า เหตุใด มีปรากฏว่ามีการทานมนุษย์เป็นอาหารเป็นต้น ในชาดกบางเรื่อง แล้วท่านเหล่านั้นกระทำด้วยเหตุอันใด ทั้งๆ ที่ยักษ์เองก็เป็นถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ไม่น่าจะต้องทานมนุษย์เป็นอาหาร

ขอกราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มีความสงสัยว่า เปรตนี่เขาทำร้ายมนุษย์อย่างเราๆ ได้หรือเปล่า เพราะเปรตบางจำพวกก็มีฤทธิ์ต่างๆ แล้วถ้าจะกระทำ กระทำด้วยเหตุอะไร เพราะเปรตเองเขาก็รับทุกข์อยู่แล้วด้วยอกุศลกรรม ยังจะกระทำอกุศลอีก เพื่ออะไร มีปรากฏใน อรรถกถา ตอนใดบ้างไหมครับ


- ตราบใดที่ยังเป็นเปรต และไม่ใช่พระอริยบุคคล ก็ยังมีกิเลสที่จะทำให้มีการล่วงศีลได้ เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น แม้จะเปลี่ยนภพภูมิไปเกิดเป็นเปรต กิเลสก็ไม่ได้หายไปไหน ยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงสามารถทำร้ายมนุษย์ได้ เมื่อกิเลสมีกำลัง ครับ

เพราะฉะนั้น จึงเนื่องด้วย เพราะมีอกุศล มีกิเลสอยู่ จึงทำร้ายผู้อื่นได้ แม้จะไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทุคติภูมิก็ตาม ดังนั้น เมื่อไหร่ที่กิเลสเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะทำบาปได้ทุกเมื่อครับ และอีกประการหนึ่ง การที่เปรตจะทำเหมือนมาทำร้าย ก็เพราะให้ผู้ที่รู้ และ เห็น อุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ได้ ครับ


เพราะอย่างเทวดา ก็ทราบว่า สามารถทำร้ายมนุษย์ได้ แต่ท่านก็ไม่ทำอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นเทวดา แต่สงสัยอีกอย่าง เรื่องยักษ์ อันนี้ท่านก็เป็นเทวดา ใช่หรือเปล่า เหตุใดมีปรากฏว่า มีการทานมนุษย์เป็นอาหารเป็นต้น ในชาดกบางเรื่อง แล้วท่านเหล่านั้น กระทำด้วยเหตุอันใด ทั้งๆ ที่ยักษ์เองก็เป็นถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ไม่น่าจะต้องทานมนุษย์เป็นอาหาร


- ส่วนเทวดานั้น ที่ยังเป็นปุถุชน ก็ยังทำร้ายมนุษย์ ปรากฏในพระไตรปิฎก เช่น เมื่อคราวที่พระราชา ทำร้ายฤาษี (พระโพธิสัตว์ผู้มีศีล) จนสิ้นชีวิต เทวดาทั้งหลายก็โกรธ เพราะ ยังเป็นปุถุชน จึงบันดาลฝน ๙ ประการ มี ฝนไฟ เป็นต้น ทำลายผู้คนในเมืองนั้น รวมถึงพระราชา ตายกันมากมาย ครับ นี่คือ เพราะ ยังมีกิเลสเป็นปัจจัย จึงทำให้ทำบาปได้ แม้จะเกิดในสุคติภูมิ มีเทวดา เป็นต้น ครับ

โดยทำนองเดียวกัน ยักษ์ ที่อยู่ชั้น จาตุมหาราชิกา หากเป็นปุถุชนก็ยังทำร้าย ทำบาป มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้นได้ เป็นธรรมดา ครับ และ เทวดาในชั้นเดียวกัน ก็มีความแตกต่างกัน ตามกำลังของกุศลที่ไม่เท่ากันที่นำเกิด จึงมีอาหารแตกต่างกันได้ และที่ทำบาป ก็เพราะยังมีกิเลส ครับ

ดังนั้น เรื่องนี้ จึงเป็นเครื่องเตือนว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด กิเลสก็สะสมไว้ต่อไปในจิตใจ เป็นปัจจัยให้ยังทำบาป ทำอกุศลกรรมได้ อันจะนำมาซึ่งทุกข์ โทษ กับตนเอง

หนทาง คือ การอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสเหล่านี้ ไปเรื่อยๆ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
daris
วันที่ 3 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
รวงข้าวท้องแก่
วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาและน้อมนำมาเตือนสติดูกิเลสตนเองครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดภพภูมิใดก็ตาม ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับพืชเชื้อของกิเลส อันเป็นกิเลสที่ละเอียดที่จะต้องถูกดับด้วยอริยมรรค (โสดาปัตติมรรคถึงอรหัตตมรรค) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิต เกิดขึ้น และถ้ามีกำลังกล้า ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้ายต่อผู้อื่น เป็นต้น

และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่า ขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง หรือ ถ้าไม่เป็นโลภะหรือโทสะ ก็เป็น โมหะ ตลอดเวลาที่จิตไม่เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล และ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง เป็นต้น จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะ โกรธมากๆ ก็ได้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส นั่นเอง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรม ว่า ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ

ยาดี ที่จะรักษาโรคกิเลสได้ทุกประเภทจริงๆ คือ ความเข้าใจพระธรรม [ปัญญา] ซึ่งต้องเริ่มจาก การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถดับได้ในที่สุด

ดังนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เลยจริงๆ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 3 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"เพราะมีอกุศล มีกิเลสอยู่ จึงทำร้ายผู้อื่นได้"

ยาดี ที่จะรักษาโรคกิเลสได้ทุกประเภทจริงๆ คือ ความเข้าใจพระธรรม [ปัญญา]

"ซึ่งต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม"

ดังนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยจริงๆ ครับ.

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 3 ก.ย. 2555

ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ แม้แต่เทวดาที่ยังมีอกุศล ก็ยังสามารถแปลงกายเป็นรูปที่น่ากลัว มาหลอกภิกษุที่เจริญสมณธรรมในป่า จนอยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยว่า ภิกษุนี้จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงแนะนำให้ภิกษุกลับไปอยู่ที่เดิม พร้อมกับให้เจริญเมตตา ภายหลังภิกษุก็เป็นที่รักของพวกเทวดา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Graabphra
วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ต.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ