อยากเรียนถามเกี่ยวกับการมีโอกาสบรรลุธรรมของบุคคลพิเศษ

 
กฤต
วันที่  16 ส.ค. 2555
หมายเลข  21566
อ่าน  5,919

กระผมเคยอ่านธรรมมาก็เยอะ ศึกษามาก็มากมายนะครับ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ขวนขวายหาศึกษาอยู่เนืองๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสได้อ่านข้อความข้อความหนึ่ง ที่กล่าวไว้ โดยนักบรรยายธรรมชื่อดังของไทยเลยก็ว่าได้เกี่ยวกับโอกาสการบรรลุธรรมนะครับ

๑. ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า คนที่เป็นเกย์ กะเทย หรือผิดปกติทางจิต ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุธรรม หรือแม้กระทั่งฌาน จริงหรือไม่ครับ

๒. ทางเขตภาคเหนือของไทยเรา มีพระนักปฏิบัติมากมาย และส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่กล่าวไว้ในข้อ ๑ น่ะครับ กระผมเองเลยสงสัยว่า ขัดแย้งหรือเป็นจริงอย่างไรครับ

๓. ส่วนเรื่องการเป็นคนผิดปกติทางจิตนั้น ถ้าพูดถึงว่าเป็นกรรมแล้ว จะมีวิธีบรรเทาหรือทำให้เขานั้นหายจากการเป็นได้ไหมครับ (หลานของผมมีอาการ จะช่วยแก้ไขได้ไหมครับ)

๔. อยากทราบความหมายของคำว่า บัณเฑาะก์ ในภาษาของพระพุทธศาสนาครับว่า หมายถึงคนเช่นไรครับ มันจะเหมือนกับ เกย์ กะเทย ทอม ดี้ เลสเบี้ยน หรือไม่อย่างไรครับ

ขอบคุณครับที่ตอบคำถามไร้สาระของผม แต่เพราะสังคมปัจจุบันมีคนกลุ่มนี้มากกว่าคนปกติครับ จึงเกรงว่าการเผยแพร่ศาสนาพุทธจะทำให้ลำบากไหม และที่สำคัญ คนที่เป็นกำลังหลักๆ ของการบำรุงศาสนาส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มนี้ครับโดยมากเลย เท่าที่กระผมสังเกตดูครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า คนที่เป็นเกย์ กะเทย หรือผิดปกติทางจิต ไม่มีโอกาสที่จะบรรลุธรรม หรือแม้กระทั่งฌาน จริงหรือไม่ครับ

- คำว่า กะเทย ที่เป็น ๒ เพศ จะต้องมี ๒ เพศ ในคนเดียวกัน หรือ ไม่มีเพศเลย ตั้งแต่กำเนิด ชื่อว่า เป็นคนพิการตั้งแต่กำเนิด ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เลย ครับ แต่ต้องเป็นตั้งแต่กำเนิด รวมทั้งคนที่เป็นบ้าก็เช่นกันครับ จะต้องเป็นตั้งแต่กำเนิด จึงจะไม่สามารถได้ฌาน บรรลุธรรม

แต่ถ้ามาเป็นภายหลัง แต่หายได้ ก็ยังสามารถอบรมปัญญาได้ ซึ่งผู้ที่จะบรรลุธรรม ได้ฌาน ได้วิปัสสนา ก็ต้องเกิดด้วยปฏิสนธิที่ประกอบด้วยปัญญาครับ ส่วนพวกที่เป็นเกย์ กะเทย โดยนิสัย แต่ไม่ใช่พวกที่เป็นกะเทย ที่มีสองเพศ หรือ ไม่มีเพศตั้งแต่ที่กำเนิด ก็สามารถบรรลุธรรมได้ฌานได้ ถ้าเกิดด้วยประกอบด้วยปัญญา ครับ

๒. ทางเขตภาคเหนือของไทยเรา มีพระนักปฏิบัติมากมาย และส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่กล่าวไว้ในข้อ ๑ น่ะครับ กระผมเองเลยสงสัยว่า ขัดแย้งหรือเป็นจริงอย่างไรครับ

- ถ้าเป็นพระ แต่มีนิสัยอย่างนั้น ที่เป็นกะเทย ย่อมไม่สมควรให้บวช และถ้าเป็นเพศบรรพชิต ก็เอื้อต่อการผิดพระวินัย และ ไม่สามารถได้บรรลุธรรม ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... คนเป็นเกย์ เป็นกะเทย ทำไมยังบวชได้ในไทย

๓. ส่วนเรื่องการเป็นคนผิดปกติทางจิตนั้นถ้าพูดถึงว่าเป็นกรรมแล้ว จะมีวิธีบรรเทาหรือทำให้เขานั้นหายจากการเป็นได้ไหมครับ (หลานของผมมีอาการ จะช่วยแก้ไขได้ไหมครับ)

- ความเป็นบ้าเกิดจากกรรมก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากอาหารก็มี แต่มีกรรมเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่กรรมของบุคคลนั้น ว่ายังให้ผลอยู่หรือไม่ และ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย ครับ

๔. อยากทราบความหมายของคำว่า บัณเฑาะก์ ในภาษาของพระพุทธศาสนาครับว่า หมายถึงคนเช่นไรครับ มันจะเหมือนกับ เกย์ กะเทย ทอม ดี้ เลสเบี้ยน หรือไม่อย่างไร

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

เรื่อง บัณเฑาะก์ กับ การบรรลุธรรม

ผลกรรมแต่ชาติที่แล้ว

อาภัพพบุคล-บัณเฑาะก์ ที่เป็นอเหตุกปฏิสนธิจิต

บัณเฑาะก์

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
กฤต
วันที่ 16 ส.ค. 2555

สาธุครับ

สรุปเป็นอันว่าตราบใดที่ยังมีเครื่องเพศแสดงตนว่าเป็นชายก็ยังบวชเรียนในพระศาสนาได้และไม่ได้มีผลต่อการบรรลุธรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่การอบรม และมีความอดทนต่อการควบคุมอารมณ์ใช่ไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 16 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

ก็ต้องพิจารณาครับว่า เป็นการแสดงพฤติกรรม และ เบี่ยงเบนมากหรือไม่ ด้วยครับ ถ้ามากไป ก็ทำให้ต้องอาบัติได้ง่าย และ การบรรลุธรรมก็ขึ้นอยู่กับข้ออื่นด้วย เช่น การต้องอาบัติและไม่เห็นโทษ ก็ทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรม ส่วนการบรรลุธรรมก็ต้องอาศัยการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ตามที่ผู้ถามกล่าวมาถูกต้องแล้ว ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
กฤต
วันที่ 16 ส.ค. 2555

ขอบคุณครับ

ผมขอจบประเด็นคำถามเรื่องนี้ครับ แล้วจะนำไปอบรมบุตรหลานต่อๆ ไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 16 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การบวช เป็นเรื่องที่ยากมาก และการยินดีในการบวชก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าหากล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่รักษาพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ขาดความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อต้องอาบัติแล้ว ไม่กระทำคืนตามพระวินัย ก็เป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพาน กั้นการไปสู่สุคติด้วย

แทนที่จะได้กระทำกิจที่ควรทำที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง แต่กลับไปเพิ่มอกุศล เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเองที่จะทำให้ได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างมากทีเดียว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นิรมิต
วันที่ 16 ส.ค. 2555

กราบอนุโมทนาธรรมครับ

ขออนุญาตร่วมสนทนาและเรียนถามด้วยครับผม

คือสงสัยว่าในกรณีที่บุคคลมีความเบี่ยงเบนทางเพศ หรือไม่ได้เบี่ยงเบน แต่มีความชอบพอในเพศเดียวกัน โดยปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิต ทั้งนี้ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุอะไรครับ? เป็นเพราะการสั่งสมของชวนจิต หรือเป็นเพราะผลของกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

แล้วการแต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยาของผู้ที่เบี่ยงเบนและชอบเพศเดียวกันนี้ โดยบิดามารดายอมรับได้ ในพระพุทธศาสนากล่าวว่าเป็นบาปหรือไม่ครับ เพราะพระภิกษุหลายท่านกล่าวว่าบาป

แล้วบนสวรรค์ ยังจะมีผู้เบี่ยงเบนและชอบพอเพศเดียวกันหรือเปล่าครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 16 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

จากคำถามที่ว่า

คือสงสัยว่าในกรณีที่บุคคลมีความเบี่ยงเบนทางเพศ หรือไม่ได้เบี่ยงเบน แต่มีความชอบพอในเพศเดียวกัน โดยปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิต ทั้งนี้ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุอะไรครับ? เป็นเพราะการสั่งสมของชวนจิต หรือเป็นเพราะผลของกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

เชิญคลิกอ่านที่นี่ โดยเฉพาะในความคิดเห็นที่ 2 และ 3 มีคำตอบอยู่แล้ว ครับ

ผลกรรมแต่ชาติที่แล้ว


แล้วการแต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยาของผู้ที่เบี่ยงเบนและชอบเพศเดียวกันนี้ โดยบิดามารดายอมรับได้ ในพระพุทธศาสนากล่าวว่าเป็นบาปหรือไม่ครับ เพราะพระภิกษุหลายท่านกล่าวว่าบาป

- สำหรับเพศคฤหัสถ์ ไม่ใช่เป็นเพศที่ขัดเกลาดังเช่นภิกษุ แม้เพียงโทษเล็กน้อย อกุศลเล็กน้อยก็อาบัติ แต่ถ้าเป็นเพศคฤหัสถ์ ไม่ได้มีบัญญัติสิกขาบทที่จะต้องขัดเกลาเป็นพิเศษ แต่ก็มีศีล ๕ เป็นเครื่องที่ควรประพฤติ

ดังนั้น บาปที่ไม่ควรกระทำของคฤหัสถ์ คือ การล่วงศีล ๕ แต่ การอยู่กันของเพศเดียวกัน ไม่ได้ล่วงศีล ๕ ครับ เพียงแต่เป็นโลภะที่พอใจในรูป เสียง ... สิ่งที่กระทบสัมผัส


แล้วบนสวรรค์ ยังจะมีผู้เบี่ยงเบนและชอบพอเพศเดียวกันหรือเปล่าครับ

- ตราบใดยังมีกิเลส และเป็นปุถุชนอยู่ แม้เกิดเป็นเทวดา ก็เป็นไปได้ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
กฤต
วันที่ 17 ส.ค. 2555

จากการอ่านที่โพสต์ไว้ทั้งหมดพอสรุปได้ว่า คนที่เป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ก็ยังสามารถบวชเรียนและบรรลุธรรมได้ แต่ผู้ที่เป็นกะเทยโดยกำเนิดคือไม่มีเครื่องเพศ หรือผู้ที่เฉือนอวัยวะเพศออกแล้วไม่สามารถบวชเรียนในพระพุทธศาสนาได้ ใช่ไหมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 8

ถูกต้อง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นิรมิต
วันที่ 17 ส.ค. 2555

กราบอนุโมทนาสาธุครับผม

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

ในสังคมไทย ไม่ให้ "กะเทย" บวชค่ะ ... ที่มีให้เห็นบวชกันอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบว่าคนที่บวชเป็นกะเทย หรือไม่ทราบว่าตามพระวินัยกล่าวไว้ว่า บวชไม่ได้

... บุคคลที่พระพุทธเจ้าห้ามบวชโดยเด็ดขาด อภัพบุคคลเหล่านี้ ต้องห้ามบวชเพราะเพศบกพร่องก็มี เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี.
๑. จำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) , อุภโตพยัญชนก (คนมีทั้ง ๒ เพศ)

๑.๑ กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า ได้แก่ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์

๑.๒ อุภโตพยัญชนก คือคนมี ๒ เพศ เป็นหญิงก็มี เป็นชายก็มี

๒. พวกคนทำผิดต่อพระศาสนา นั้นแสดงไว้ ๗ ประเภท คือ

๒.๑ คนฆ่าพระอรหันต์

๒.๒ คนผู้ข่มขืนภิกษุณี

๒.๓ คนลักเพศ คือถือเพศภิกษุเอาเองด้วยตั้งใจจะปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ เช่น ปลอมตัวว่าบวช ปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ

๒.๔ ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ทั้งที่ยังเป็นภิกษุอยู่ สึกแล้วมาบวชใหม่ก็ห้าม)

๒.๕ ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว

๒.๖ ภิกษุผู้ทำสังฆเภท

๒.๗ คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต

๓. คนทำผิดต่อกำเนิดของตน นั้น คือ คนฆ่าพ่อฆ่าแม่

อภัพบุคคลเหล่านี้ ถ้ารู้มาก่อนก็ไม่พึงให้อุปสมบท (บวช) แต่ถ้าให้บวชแล้วเพราะไม่รู้ เมื่อภายหลังรู้ พึงให้สึกเสีย

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

บุคคลผู้ห้ามให้บวชตามหลักฐานอรรถกถาจารย์ ...

๑. ปณฺฑกาติ อุสฺสนฺสกิเลสา อวูปสนฺตปริฬาหา นปุสกา

บุคคลที่ไม่ใช่ชายหรือหญิง มีกิเลสแน่นหนา มีความเร่าร้อนกลัดกลุ้มอยู่เสมอ เรียกว่า “บัณเฑาะก์” หรือกะเทย

๒. เต ปริฬาหาภิภูตา เยน เกนจิ สทฺธึ มิตฺตภาวํ ปตฺเถนฺติ

กะเทยเหล่านั้น (ที่มีนิสัยชอบพวกเพศเดียวกัน) เมื่อถูกราคะครอบงำแล้วปรารถนาเป็นมิตรกับพวกผู้ชายบางคน

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

อรรถกถาจารย์แบ่งกะเทยไว้ ๕ ประเภท คือ

๑. อาสิตตบัณเฑาะก์ หมายความว่า กะเทยพวกที่ชอบใช้ปากอมองคชาตของผู้อื่น ความเร่าร้อนสงบไปเมื่อถูกน้ำอสุจิรั่วรดแล้ว พวกนี้เรียกว่า อาสิตตบัณเฑาะก์

๒. อุสสุยบัณเฑาะก์ หมายความว่า กะเทยพวกที่เห็นคนอื่นเขาประพฤติล่วงประเวณี หรือเห็นคนอื่นเขาเสพสังวาสกัน ความเร่าร้อนด้วยราคะที่ฟุ้งขึ้นของเขาก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า อุสสุยยบัณเฑาะก์ (พวกชอบแอบดู)

๓. โอปักกมิยบัณเฑาะก์ หมายความว่า กะเทยพวกที่ถูกตอนแล้ว ถ้าเป็นประเพณีเก่าของจีนคือพวกขันที คือคนพวกที่ถูกเขาเอาอัณฑะออกแล้ว พวกนี้เรียกว่า โอปักกมิยบัณเฑาะก์

๔. ปักขบัณเฑาะก์ หมายความว่า กะเทยพวกนี้เป็นกะเทยมีราคะกล้าเฉพาะวันข้างแรมไปจนถึงเดือนดับเพราะอกุศลวิบาก แต่พอข้างขึ้นก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า ปักขบัณเฑาะก์

๕. นปุงสกบัณเฑาะก์ หมายความว่า กะเทยพวกนี้มี ๒ เพศในร่างเดียวกัน คือ พวกอุภโตพยัญชนก เมื่อทำหน้าที่ของผู้ชายให้หญิง ก็ซ่อนรูปเพศหญิงไว้แต่เพศชายปรากฏ, เมื่อทำหน้าที่เป็นหญิง เพศชายหายไปแต่เพศหญิงปรากฏ, เรียกพวกนี้ว่า ปุริสอุภโตพยัญชนกฯ ส่วนอิตถีอุภโตพยัญชนก ท้องเองก็ได้ และทำผู้อื่นท้องก็ได้ ส่วนปุริสอุภโตพยัญชนกไม่ได้ตั้งท้องเอง แต่ทำให้หญิงท้องก็ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร?

เนสํ หิ น ภิกฺขเว ปณฺฑโก ปพฺพาเชตพฺโพ โย ปพฺพาเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ อาทินา ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ ปฏิกฺขิตฺตาฯ

แปลใจความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสห้ามการบรรพชาและอุปสมบท แก่บุคคลเหล่านั้น ด้วยคำเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กะเทยอันภิกษุไม่พึงให้บวช ภิกษุใดให้บวช ภิกษุนั้นพึงทำไม่ดี ฯลฯ

ตสฺมา เตปิ ปาราชิกาฯ

ความว่า เพราะกะเทยแม้เหล่านั้น เป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว คือเปรียบเหมือนเป็นปาราชิกตั้งแต่เขาเป็นคฤหัสถ์ (คือบวชไม่ได้ตลอดชีวิต)

ปพฺพชฺชาปิ เนสํ ปฏิกฺขิตฺตาฯ

แม้การบรรพชาของคนพวกนั้นก็ทรงห้ามแล้ว

ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนฺโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันที่เป็นกะเทย ภิกษุไม่พึงให้บวช ที่บวชแล้วพึงให้สึกเสียฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

"บัณเฑาะก์" จัดเป็นอภัพบุคคล ซึ่งไม่อาจบรรลุธรรมได้ในชีวิตนี้

ถึงแม้ว่าจะพยายามพัฒนาตนเองตามหลักไตรสิกขาแล้วก็ตาม

เพราะบัณเฑาะก์เกิดได้เพราะผลแห่งอกุศลกรรม คือ เป็นบุคคลที่ปฏิสนธิที่ปราศจากอโมหะเหตุหรือ ทุกเหตุกปฏิสนธิ (ผู้มีวิบากเป็นเครื่องกั้น) จึงไม่สามารถทำฌานหรือมรรคผลให้เกิดขึ้นได้ในชาตินี้ แต่สามารถสั่งสมอุปนิสัยเพื่อการบรรลุธรรมในภพชาติต่อๆ ไปได้

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ภพฺพาคมโน
วันที่ 12 ต.ค. 2555

ผู้ปฏิสนธิด้วย "อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก" นี้ เป็นผู้มีบุญน้อยจึงพิการต่างๆ มาแต่กำเนิดความพิการนี้มีถึง ๑๐ ประการ คือ
๐๑. ชจฺจนฺธ ตาบอด
๐๒. ชจฺจพธิร หูหนวก
๐๓. ชจฺจฆานก จมูกเสีย ไม่ได้กลิ่น เพราะไม่มีฆานปสาท
๐๔. ชจฺจมูค เป็นใบ้
๐๕. ชจฺจชฬ โง่เง่าผิดปกติ นับสิบก็ไม่ถูก
๐๖. ชจฺจุมฺมตฺตก เป็นบ้า
๐๗. ปณฺฑก พวกบัณเฑาะก์
๐๘. อุภโตพยญฺชนก ผู้ปรากฏเป็น ๒ เพศ
๐๙. นปุ ํสก ผู้ไม่ปรากฏเพศ
๑๐. มมฺม ผู้ติดอ่าง

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
nopwong
วันที่ 26 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ