มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ ผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา

 
พิมพิชญา
วันที่  21 ก.ค. 2555
หมายเลข  21440
อ่าน  2,069

ขออนุญาตกราบเรียนถามนะคะ

มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ หรือ ผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา

๑. หากชาตินี้ได้สะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบ่อยๆ (มหากุศลญาณสัมปยุตต์) ผลของกุศลนี้ จะนำกำเนิดในชาติต่อไปให้เป็นผู้สนใจศึกษาธรรมะแน่นอนหรือไม่คะ

๒. ผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียด และมีความเข้าใจขั้นฟัง แปลว่าท่านนั้นเป็นติเหตุกบุคคล (ปฏิสนธิด้วยกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา) หรือไม่คะ

๓. ผู้ที่เป็นทวิเหตุกบุคคล (ปฏิสนธิด้วยกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา) ในชาตินั้นๆ จะมีความสนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียดหรือไม่คะ

๔. มีผู้ที่บอกว่าตนฝึกฌานได้เพราะตนเป็นติเหตุกบุคคล แต่เท่าที่ศึกษากับทางบ้านธัมมะมา จะได้ฟังบ่อยๆ ว่ายุคนี้ไม่ใช่กาลสมัยที่จะเจริญฌาน จึงอยากทราบว่า ติเหตุกบุคคล ขึ้นอยู่กับกาลสมัยด้วยหรือไม่คะ

๕. มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ เป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ว่านี้ เป็นปัญญาทุกระดับขั้นใช่หรือไม่คะ

๖. ปัญญามีหลายระดับขั้น ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถะ ขั้นสมถภาวนา ขั้นวิปัสสนาภาวนา (ขั้นวิปัสสนานี้แบ่งเป็นถึง ๑๖ ขั้น) ดิฉันอยากทราบว่า ปัญญาเจตสิก มีหลายลักษณะหรือเปล่าคะ แล้วความต่าง เกิดจากจิตที่เกิดร่วมใช่หรือไม่คะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. หากชาตินี้ได้สะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบ่อยๆ (มหากุศลญาณสัมปยุตต์) ผลของ กุศลนี้จะนำกำเนิดในชาติต่อไปให้เป็นผู้สนใจศึกษาธรรมะแน่นอนหรือไม่คะ

➢ ธรรมทั้งหลายจะต้องอาศัยเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพียงอย่างเดียวจึงจะเกิดขึ้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ครับ การสนใจธรรมในชาติหน้า หรือ ชาติใดชาติหนึ่ง ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ การสะสมความเข้าใจในชาตินี้ที่เกิดความเข้าใจบ่อยๆ เมื่อตายจากบุคคลนี้ไป จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม ความเข้าใจไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า ชาติหน้า หรือ ชาติต่อไปจะสนใจธรรมแน่นอน ครับ เพราะ ตามที่กล่าวแล้ว ธรรมทั้งหลายจะต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ การจะสนใจธรรม อาศัยเหตุปัจจัย คือ การสะสมมาประการหนึ่ง และ ประการที่สำคัญมาก คือ การได้รับฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าอีกประการหนึ่ง จึงจะสนใจพระธรรม หากสมัยนั้นไม่มีพระธรรมของพระพุทธเจ้าอุบัติเลย ชาตินั้น แม้จะปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็ทำให้ไม่สามารถที่จะระลึกด้วยตนเองในพระธรรมที่ได้ฟังมาแล้วได้ ครับ

ดัง พระสูตรที่อธิบายว่า เมื่อบุคคลที่เคยสะสมปัญญามาในอดีตชาติ ไปเกิดเป็นเทวดา หรือ มนุษย์ก็ตาม สติหลงลืม ไม่สนใจพระธรรม แต่เมื่อมีคนมากล่าวธรรม ให้ฟัง ย่อมระลึกถึงธรรมได้ และ สนใจพระธรรม ครับ ดังเช่น พระอริยสาวกในอดีต ก่อนฟังธรรมก็ไม่สนใจพระธรรมเลย เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ แต่ เมื่อได้ฟังพระธรรม ปัญญาที่สะสมมาก็ระลึกได้ และสามารถบรรลุธรรม ครับ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่สะสมปัญญามาในอดีตชาติไม่ได้หมายความว่า จะต้องสนใจพระธรรมทุกชาติ แล้วแต่เหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ทั้งการได้รับฟังพระธรรม ที่ทำให้ระลึกได้หรือไม่ ครับ เพราะ ผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา อาจทำให้ปฏิสนธิ เป็นผู้ที่ประกอบด้วยปัญญา แต่ไม่สนใจพระพุทธศาสนา เพราะ ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะได้รับฟังพระธรรมในชาตินั้น มี อุทกดาบส และ อาฬารดาบส ที่ปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญา ได้ฌาน แต่เพราะ ไม่ได้รับฟังพระธรรมพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้สนใจพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และไม่บรรลุธรรม ไปเกิดเป็นอรูปพรหมจนพระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาทั้งสอง พินาศแล้ว เพราะ ไม่ได้ฟังพระธรรมที่เราตรัสรู้ครับ นี่คือ เหตุที่จะสนใจพระธรรมมีหลายประการตามที่กล่าวมา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ค. 2555

๒. ผู้ที่สนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียด และมีความเข้าใจขั้นฟัง แปลว่าท่านนั้นเป็นติเหตุกบุคคล (ปฏิสนธิด้วยกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา) หรือไม่คะ

➢ ก็ไม่จำเป็นครับ เพราะ การเข้าใจขั้นการฟังโดยละเอียด ก็เป็นการเข้าใจโดยชื่อ เพียงชื่อก็ได้ แต่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะรู้ว่า ใครจะประกอบด้วยปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญา คือ เมื่อได้วิปัสสนาญาณ ได้ฌาน เป็นต้น ครับ

๓. ผู้ที่เป็นทวิเหตุกบุคคล (ปฏิสนธิด้วยกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา) ในชาตินั้นๆ จะมีความสนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียดหรือไม่คะ

➢ ได้ครับ ในขั้นการฟัง เข้าใจได้ละเอียดได้ แต่ไม่สามารถจะได้วิปัสสนาญาณ และ ไม่ได้ฌาน และไม่บรรลุธรรม ครับ

๔. มีผู้ที่บอกว่าตนฝึกฌานได้เพราะตนเป็นติเหตุกบุคคล แต่เท่าที่ศึกษากับทางบ้านธัมมะมา จะได้ฟังบ่อยๆ ว่ายุคนี้ไม่ใช่กาลสมัยที่จะเจริญฌาน จึงอยากทราบว่า ติเหตุกบุคคล ขึ้นอยู่กับกาลสมัยด้วยหรือไม่คะ

➢ กาลสมัยก็มีส่วนเช่นกัน หากยุคสมัยที่เจริญ ก็จะมีผู้ที่ปฏิสนธิด้วยปัญญามาเกิดมากในโลกมนุษย์ แต่ในสมัยนี้ ผู้ที่ปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญาในมนุษย์มีน้อยกว่าพุทธกาล เพราะ ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลโดยมากไปเกิดในสวรรค์ หรือ บรรลุธรรมโดยมาก ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ยุคสมัยนี้ ก็เป็นกาลสมัยที่สัตว์โลก ปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญาน้อยกว่าสมัยพุทธกาลตามที่กล่าวมา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ค. 2555

๕. มหาวิบากญาณสัมปยุตต์ เป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาที่ว่านี้ เป็นปัญญาทุกระดับขั้นใช่หรือไม่คะ

มหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ว่าระดับใด สามารถให้ผลเป็นมหาวิบากประกอบด้วยปัญญาได้ ครับ

๖. ปัญญามีหลายระดับขั้น ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถะ ขั้นสมถภาวนา ขั้นวิปัสสนาภาวนา (ขั้นวิปัสสนานี้แบ่งเป็นถึง ๑๖ ขั้น) ดิฉันอยากทราบว่า ปัญญาเจตสิก มีหลายลักษณะหรือเปล่าคะ แล้วความต่างเกิดจากจิตที่เกิดร่วมใช่หรือไม่คะ

ปัญญาเจตสิก มีลักษณะรู้เห็นตามความเป็นจริง แต่ขึ้นอยู่กับว่า รู้เห็นตามความเป็นจริงในเรื่องใด เช่น รู้เห็นตามความเป็นจริงในนามและรูป ในสภาพธรรมที่เกิดดับ ในความเป็นภัย เป็นต้น ซึ่ง ไม่ว่าจะรู้ในลักษณะประเภทใด ปัญญาก็มีลักษณะเดียว คือ รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ขึ้นอยู่กับว่า รู้ในเรื่องใด ทำให้มีปัญญาต่างระดับขั้นกัน

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พิมพิชญา
วันที่ 21 ก.ค. 2555

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การได้ฟังพระธรรมเป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมากที่จะได้ฟังพระธรรม ถ้าไม่ได้มีบุญที่กระทำไว้แล้วในชาติปางก่อน จะไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย และถ้าไม่ได้สะสมศรัทธาและความเห็นที่ถูกต้องว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริง คนนั้นก็จะได้ยินได้ฟังแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่กำลังได้ฟังนั้นเป็นความจริงซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ซึ่งสะสมมาแตกต่างกัน

ผู้ที่ปฏิสนธิโดยที่ไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วยเลยนั้น และ ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๒ ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ส่วนติเหตุกบุคคล คือ ผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุคือ ปัญญา บุคคลประเภทนี้สามารถอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ แต่ไม่เสมอไป เช่น ท่านพระเทวทัต ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ แต่เป็นผู้ถูกลาภสักการะครอบงำ กระทำอนันตริยกรรม ไปเกิดในอเวจีมหานรก

ประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ เราไม่สามารถทราบได้ว่าเราปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือ เหตุ ๓ แต่เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นให้ล่วงเลยไป ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมปัญญาต่อไป เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเวลาของการฟังพระธรรม ในชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 22 ก.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ อ. ผเดิม, อ. คำปั่น เป็นอย่างมากครับที่เกื้อกูลพระธรรมอย่างดียิ่ง

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 23 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 25 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nongnong
วันที่ 3 พ.ค. 2562

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Kalaya
วันที่ 21 เม.ย. 2564

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 21 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ