ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๔๖

 
khampan.a
วันที่  8 ก.ค. 2555
หมายเลข  21372
อ่าน  1,303

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖]

- เมื่อได้ฟังพระธรรม จะเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรง แสดงธรรมไว้โดยละเอียดเพื่อที่จะให้สติเกิด ระลึก ศึกษาลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เก็บไว้ในตำรา แต่ว่าจะต้องศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏใน ขณะนี้

- ความปรารถนาสูงนั้นสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะ นี้เสียก่อน

- ที่ใช้คำว่า ธรรม ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เพียงศัพท์หรือเพียงคำที่ได้ยินคำเดียวว่า ธรรม ก็จะต้องเข้าถึงความ หมายของธรรม คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

- ตราบใดที่อวิชชามีปัจจัยเกิดขึ้น อวิชชาก็เป็นสภาพที่ไม่รู้ ทำอย่างไรๆ จะให้ อวิชชารู้ปรมัตถธรรม รู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ได้

- สิ่งที่มีจริง จะใช้คำว่า ธรรม ก็ได้ ธาตุ ก็ได้ เพราะล้วนแสดงถึงสิ่งที่มีจริง ทั้งหมด

- ตา ก็ต้องเป็นตา เปลี่ยนแปลงให้เป็นหูก็ไม่ได้ ซึ่งจะเห็นความน่าอัศจรรย์ของ ความเป็นธาตุที่ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

- ถ้าไม่เข้าใจจริง ก็คิดว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงแล้ว มีแต่ธรรมแต่ละ อย่างๆ เท่านั้น กว่าจะหมดการยึดถือว่าเรา จะนานสักแค่ไหน

- ฟังด้วยดี คือ ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น

- ไม่ว่าจะเป็นกาละไหน ก็ไม่พ้นจากความเป็นธาตุ ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ มีธาตุ หลากหลายมาก ความเป็นธาตุมีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมให้ เข้าใจจริงๆ

- จากความรู้นิดๆ หน่อยๆ เมื่อสะสมเพิ่มขึ้นๆ เป็นความรู้ที่มากยิ่งขึ้น จนกระทั่ง ละคลายความสงสัยและความไม่รู้ได้

- เมื่อรู้ว่า อวิชชา ไม่รู้ ก็ย่อมมีทางที่จะรู้ได้ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความ ไม่รู้ได้

- ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง กว่าที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงตรัสรู้ต้อง บำเพ็ญพระบารมีมานานเท่าใด (สี่อสงไขยแสนกัปป์) เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะรู้

- พระธรรม ก็คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ฟังแล้ว ก็ย่อมจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

- ถ้าไม่มีธาตุเห็น (จิตเห็น) สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้

- ก่อนจิตเห็นจะเกิด ก็ต้องมีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น แต่ไม่ใช่จิตเห็น และเมื่อจิตเห็น ดับไปแล้ว ก็มีจิตอื่นเกิดสืบต่อ

- ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความเป็นไปของสภาพธรรมได้เลย

- จิตได้ยิน จะไปรู้อย่างอื่นก็ไม่ได้ ต้องรู้เสียง คือ ได้ยินเสียงเท่านั้น

- จิต เป็นจิต ไม่ใช่เรา

- จะบังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้น หรือ ไม่ให้เกิดขึ้น เป็นไปไม่ ได้เลย

- ไม่มีจิตแม้แต่ขณะเดียวที่เกิดขึ้นแล้ว จะไม่กระทำกิจหน้าที่ ล้วนต้องทำกิจ หน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น เช่น จิตเห็น เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องทำกิจเห็น เป็นต้น

- สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เข้าใจธรรม เพราะไม่รู้จึงฟังพระธรรม จึงจะสามารถละ ความไม่รู้ได้

- เราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ในเมื่อยังไม่เข้าใจธรรม ก็ควรที่จะได้เข้าใจ ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๔๕ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วปันธรรม ด้วยครับ

- แม้แต่ พระอรหันต์ ท่านก็ยังฟังพระธรรม ต่อไปพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา แล้วเรา ฟังพระธรรม มานานเท่าไร ถ้ายังไม่เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จริงๆ ฟังเท่าไร ก็ยังไม่พอ

- ไม่มีอะไร ที่จะให้เหตุผลได้ดี ยิ่งไปกว่าพระธรรมวินัย ที่ได้ทรงแสดงแล้ว ที่จะช้าหรือ เร็ว นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับ "เหตุปัจจัย" ไม่ใช่ปลอบใจ ให้เร่ง และให้บรรลุธรรมในชาตินี้ได้ โดยเหตุไม่สมควรแก่ผล พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงธรรมอะไรที่ปลอบใจคน หรือที่จะชักชวนให้เข้ามาหาพระธรรมวินัยของพระองค์ แต่ว่าทรงแสดงธรรมตามเหตุ และผล ตามความเป็นจริง

- ใครๆ ก็ทราบว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการ ความสุขและความไม่ เดือดร้อนใจในภายหลังก็ควรทำความดี คือ กุศลอันเป็นบุญและ ละเว้นจากความชั่ว คือ อกุศล อันเป็นบาป

- จริงอยู่ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนกระทำดีแต่ว่าจะดีแค่ไหน ดีอย่างไร ดีได้ถึงที่สุดหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งควรพิจารณาด้วยปัญญา

- เบื่อ แล้วรู้อะไร เบื่อ แต่ไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม หน่าย เพราะ รู้จักนามธรรม และ รูปธรรม สภาพของจิตนี้ ใกล้เคียงกันมาก คนที่ไม่ได้ศึกษา โดยสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ จะสับสน ปะปนกัน บางคนเข้าใจว่า เป็นทุกข์มากๆ น่ะดี จะได้ใกล้อริยสัจจ์ แต่ความจริง ไม่ใช่เห็นทุกข์โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เลย ถ้าเป็นปัญญาที่เห็นสภาพธรรม ว่า ไม่ใช่ตัวตน ที่ว่า "ทุกข์" นั้นคือ เห็นสภาพธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ทุกข์ เพราะต้องเกิด ตามเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไป หมดไป เปลี่ยนแปลงไป การรู้ความจริงอย่างนี้ ไม่เป็นทุกข์

- พระธรรม เป็นศาสดา แน่นอนที่สุด ฉะนั้นจะต้องไม่ยึดติด ในครูบาอาจารย์ เพราะว่า ผู้ที่จะรอบรู้ ในพระไตรปิฎก ทั้งอรรถกถา และพยัญชนะ โดยครบถ้วนนั้น หายากมาก แต่เราสามารถที่จะรับฟังความรู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็ได้ ส่วนใดที่ไม่ตรง ก็ทิ้งไปไม่ยึดมั่นในบุคคล ว่าเป็นผู้ที่เราจะต้องเชื่อ ยิ่งไปกว่าพระธรรม เพราะว่า สิ่งที่เราต้องเชื่อ อย่างแท้จริง คือ พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ เป็นศาสดาแทนพระองค์

- การที่ รู้ ว่า กิเลสมากนี่ดี แต่ถึงจะรู้ ว่ามีกิเลสมากเท่าไรก็ไม่มากเท่ากับที่ กิเลสมี ต่อให้เราพูดว่า กิเลส มีมาก ก็ยังไม่มากเท่าที่ กิเลสมี เพราะว่า อกุศล เกิดเร็วมาก เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟัง และ การสนทนาธรรมจะเตือนให้เราเข้าใจ เห็นประโยชน์และ เห็นว่าสิ่งที่เป็น อกุศล เป็นอกุศลจริงๆ

- แม้จากการศึกษา จะรู้ว่า โลภะ เกิดแล้ว แต่ โลภะ เกิดแล้ว ก็ไม่รู้ เพราะว่าการ รู้ลักษณะ ของโลภะจริงๆ คือ ขณะที่ถึงเฉพาะ โลภะ ที่กำลังปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 9 ก.ค. 2555

- ก่อนจิตเห็นจะเกิด ก็ต้องมีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น แต่ไม่ใช่จิตเห็น และเมื่อจิตเห็น ดับไปแล้ว ก็มีจิตอื่นเกิดสืบต่อ

- ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความเป็นไปของสภาพธรรมได้เลย ที่ว่า "ทุกข์" นั้นคือ เห็นสภาพธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทุกข์ เพราะต้องเกิด ตามเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไป หมดไป เปลี่ยนแปลงไป การรู้ ความจริงอย่างนี้ ไม่เป็นทุกข์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น และ อ. ผเดิม ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจาย์ผเดิม พี่เมตตา และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 ก.ค. 2555

"...ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วไม่รู้จัก..."

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
raynu.p
วันที่ 9 ก.ค. 2555

กราบอนุโมทนา ท่านผู้เข้าใจ และร่วมกันแบ่งปันให้ผู้ฟังตาม พิจารณาตาม ได้มีโอกาสพลอยยินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
หลานตาจอน
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจาย์ผเดิม คุณเมตตา และทุกๆ ท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
bsomsuda
วันที่ 10 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nong
วันที่ 10 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
wittawat
วันที่ 12 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอ.คำปั่น และทุกท่านครับ เป็นถ้อยคำสั้นๆ ที่มีประโยชน์ ให้เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งของธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ