มีทรัพย์มากพอแล้วปราถนาศึกษาธรรม

 
utis
วันที่  20 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21282
อ่าน  1,744

เมื่อ ๓ ปีก่อนเลือกว่าจะบวชศึกษาธรรมโดยไม่ต้องห่วงเรื่องแสวงหาทรัพย์หรือหาทรัพย์โดยตั้งใจว่าจะหาทรัพย์ให้มากพอเพื่อไม่ต้องหาอีก แล้วจะเลิกทำงานและจะเอาเวลาที่เหลือในชีวิตศึกษาธรรม

สุดท้ายก็เลือกหาทรัพย์โดยเริ่มเปิดบริษัทจนสะสมทรัพย์ถึง ณ วันนี้ก็ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้แล้ว แต่มีปัญหาคือ ไม่รู้จะวางมืออย่างไร เพราะมีทั้งลูกค้าและลูกน้องจำนวนมากต้องดูแลเพราะงานผมเป็นงานบริการ ทางที่ผมคิดไว้มี

๑. ปิดบริษัทหนีหายไปเลยยกเลิกเบอร์โทรทั้งหมดใครก็ติดต่อไม่ได้

๒. หาลูกน้องที่เก่งแล้วยกบริษัทให้เขาไปเลย

๓. ทำต่อไป ๔, ๕, ๖ ยังคิดไม่ออกและยังตัดสินใจไม่ได้ ผมเลยเขียนมาขอความคิดเห็นจากท่านอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ในการวางมือจากกิจการงานเพื่อเป็นปัจจัยให้คิดได้ละเอียดเหมาะสม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การศึกษาธรรม เพื่ออบรมปัญญา ในการดับกิเลส สามารถประพฤติได้ทั้งเพศคฤหัสถ์และเพศบรรพชิต ไม่ได้หมายความว่า การจะอบรมปัญญา ศึกษาธรรม ดับกิเลสได้ จะต้องเป็นเพศบรรพชิต บวช เท่านั้นครับ เพราะว่า ปัญญา ที่เป็นธรรมที่ละคลายดับกิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดกับจิต เพราะฉะนั้น เพศคฤหัสถ์ก็มีจิต เพศบรรพชิตก็มีจิต ปัญญา จึงสามารถเกิดได้ ไม่เลือกว่าเป็นเพศใด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ครับ

ซึ่งเหตุให้เกิดปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมก็สามารถอบรมได้ ทั้งเพศคฤหัสถ์และบรรพชิต

ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ เป็นพ่อค้า ร่ำร่วย เป็นเศรษฐี มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็ไม่ได้ไปบวช แต่ท่านฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ปัญญารู้ความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันในขณะที่ฟังพระธรรม ดับกิเลส บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ท่านก็ใช้ชีวิตเป็นปกติ ก็ยังค้าขาย เป็นพ่อค้า แต่เป็นพ่อค้าที่ดี มีคุณธรรม

แม้เรา เป็นคฤหัสถ์ก็สามารถอบรมปัญญาได้ ด้วยการฟังพระธรรม เพราะ พระธรรม เป็นเหมือนศาสดาแทนพระองค์ ปัญญาก็สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อมีปัญญา ก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติ มีการค้าขาย เป็นนักธุรกิจ แต่เพราะมีปัญญาเจริญขึ้น ก็เป็นนักธุรกิจที่ดี มีคุณธรรม และเข้าใจความจริง และก็สามารถอบรมปัญญาต่อไปได้เรื่อยๆ ครับ เพราะ อบรมเหตุที่ถูกต้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งหากเราเข้าใจว่า ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นรู้อะไร ก็ไม่พ้นความจริงที่มีในชีวิตประจำวัน เพื่อเข้าใจว่า ในขณะนี้ มีเห็น ได้ยิน เป็นต้น เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ

ดังนั้น หากอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ก็สามารถรู้ความจริงได้ในชีวิตประจำวัน ครับ

การวางมือจากธุรกิจ โดยการออกบวช ไม่ใช่เหตุ ให้บรรลุธรรม ดับกิเลส แต่ การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมต่างหาก ที่ทำให้บรรลุธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

ขอเชิญสหายธรรมร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

หาได้ยาก ยิ่งบุคคลที่คิดเช่นนี้ หากใช้ในทางที่ถูกก็สามารถ ช่วยเกื้อกูล ทำนุบำรุงพระศาสนา และปัญญาทางธรรมได้ ถือว่าปรึกษาถูกที่แล้วครับ

ขอน้อมจิตอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยเศียรเกล้าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พิมพิชญา
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยคนนะคะ

ดิฉันขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าของกระทู้ ย้อนนึกถึงตัวดิฉันเองเป็นคนที่ยังยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เลยยังยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ เคยคิดแบบเจ้าของกระทู้หลายทีแต่ก็พ่ายแพ้ รู้สึกได้ว่าท่านเจ้าของกระทู้ต้องเป็นผู้เด็ดเดี่ยว กล้าหาญมากทีเดียว และคงมีอัธยาศัยในการศึกษาพระธรรมอย่างจริงจัง

ขออนุโมทนาค่ะ

จากคำถาม ท่านเจ้าของกระทู้ มีการตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกทำ และให้ตัวเลือกมา ดิฉันเห็นด้วยว่าควรให้หรือขายกิจการไป ให้คนที่เหมาะสมสานต่อเพราะเป็นงานบริการ มีความต่อเนื่องของเนื้องาน มีคนที่จะเดือดร้อนจำนวนมากหากเราทิ้งงาน ดังนั้นควรหาคนมารับผิดชอบต่อนะคะ และต้องให้แน่ใจว่าถ้าเลิกทำแล้วจะไม่หวนมาเสียดายหรือเสียใจนะคะ โดยเฉพาะเรื่องสรรเสริญ นินทา เสื่อมยศ เสื่อมเกียรติ ย่อมมีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้วางลงยากยิ่งกว่าเรื่องทรัพย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
oom
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

การทำงานในชีวิตประจำวัน ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว เช่น มีเมตตาต่อลูกน้อง/ลูกค้า ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ยามที่คนอื่นเดือดร้อน ให้ทานรักษาศีล ไม่เบียดเบียนคนอื่นทั้งกาย วาจา ใจ รู้จักให้อภัย เสียสละเพื่อคนอื่นตามกาล และถ้ามีเวลาก็ฟังธรรมของอาจารย์สุจินต์ ที่บรรยายจากวิทยุก็ได้

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาความเห็นที่ 1 ของอาจารย์ผเดิมครับ

"การวางมือจากธุรกิจ โดยการออกบวช (แม้ท่านเจ้าของกระทู้จะไม่ได้ระบุว่าบวชแต่ก็มีนัยเดียวกัน) ไม่ใช่เหตุ ให้บรรลุธรรม ดับกิเลส แต่การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมต่างหาก ที่ทำให้บรรลุธรรม ครับ"

ส่วนการที่จะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมมากหรือน้อย ก็ต้องเป็นผลของวิบากที่ท่านเจ้าของกระทู้สะสมและทำมาแล้วแต่ในอดีต อันนี้คงจะไปเปลี่ยนแปลง กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ไม่ได้ ปิดกิจการแล้ว ก็อาจมีเหตุให้ได้ศึกษาธรรมได้ หรืออาจจะไม่ได้ ก็ได้

ทำกิจการต่อไป ก็เช่นเดียวกัน อาจมีเหตุให้ได้ศึกษาธรรมต่อไปได้ หรือไม่ได้ ก็ได้ ดังนั้นการที่ท่านตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งต่อธุรกิจ ก็ขอให้เป็นไปด้วยกุศลจิตก็แล้วกันนะครับ หากตัดสินใจด้วยอกุศลจิตที่มีโลภะคือความอยากศึกษาธรรมะแล้วละก็ อันนี้ก็เป็นเหตุให้เนินช้าแน่ๆ เลยทีเดียวครับ และที่สำคัญ เมื่อมีโอกาสศึกษาพระธรรม เมื่อใด ก็อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเฉยๆ นะครับ

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
edu
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

การได้ออกบวชและประพฤติพรหมจรรย์เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สั่งสมมา แต่การบวชก็เป็นโอกาสที่ได้เจริญกุศลมากกว่าการเป็นฆราวาส

ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี

ภิกษุ ท. ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึกไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้วจำแนกธรรมออกสั่งสอนสัตว์.

ภิกษุ ท. ! ตถาคตนั้น ได้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้กับทั้งเทวดา มาร พรหม ซึ่งหมู่สัตว์ กับทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้แจ้งตาม ตถาคตนั้น แสดงธรรมไพเราะ ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง.

คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือคนที่เกิดในตระกูลอื่นใดในภายหลัง ย่อมฟังธรรมนั้น. ครั้นฟังแล้ว ย่อมเกิดศรัทธาในตถาคต. กุลบุตรนั้นผู้ประกอบอยู่ด้วยศรัทธาย่อมพิจารณาเห็นว่า “ ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี; ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง มันไม่เป็นไปได้โดยง่ายที่เราผู้อยู่ครองเรือนเช่นนี้จะประพฤติพรหมจรรย์นั้น ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดสะอาดดีแล้ว. ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือนไปบวชเป็นผู้ไม่มีเรือนเถิด ...” .

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องที่เบาสบาย เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ในแต่ละวัน ชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมดำเนินไปแตกต่างกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและไม่เหมือนกันด้วย

ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งมีให้ศึกษาอยู่ตลอด ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ชีวิตของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนมีความเป็นไปแตกต่างกันตามการสะสม ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลในอดีต เป็นพระราชาก็มี เป็นเศรษฐีก็มี เป็นพ่อค้าก็มี เป็นคนรับใช้ก็มี เป็นต้น ล้วนมีภาระหน้าที่การงานทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้น อบรมเจริญปัญญา จึงสามารถดับกิเลสได้

สิ่งสำคัญ คือ จะให้ความสำคัญกับการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญามากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม เป็นผู้ใคร่ในการฟังพระธรรมอยู่เสมอ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ตาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
รากไม้
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขออนุญาตร่วมสนทนานะครับ

ในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งที่ทิ้งกิจการทั้งหมด เกษียณตัวเองแล้วมาศึกษาพระธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ทำงานเพื่อแสวงหารายได้อีกต่อไป ถ้าหากทำงานก็เป็นการช่วยผู้อื่น เพื่อแบ่งเบาทุกข์ โดยไม่คิดค่าตอบแทนนั้น ในช่วงเวลานั้นผมคิดอย่างนี้ว่า ...

การมีเงินนั้นมีโทษ, ยิ่งมีเงินมาก ก็ยิ่งทำให้มีโลภะมาก, ติดนิสัยที่ใช้เงินไปเพื่อแลกกับความสุข ความสบายต่างๆ ซึ่งมีโทษมาก เพราะเป็นไปเพื่อการสนองกิเลส ความติดข้องจะทำให้ทนความลำบากไม่ได้, เมื่อมองไปทางไหน ก็เห็นแต่สิ่งของที่หามาได้แล้วสะสมไว้ ด้วยอำนาจโลภะทั้งสิ้น จนเกิดความขยะแขยง รังเกียจทรัพย์เหล่านั้น, เราเสียเวลาไปกับการแสวงหาทางโลกมากแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จักพอเสียที จึงเกิดความเอือมระอาในการแสวงหาเพิ่ม เกิดความอิ่มและรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว, ทรัพย์และสุขทางโลกไม่ใช่เป็นสิ่งที่พึงแสวงหา

สำหรับผู้มีปัญญา, การทำธุรกิจนี้เป็นเครื่องกั้นหลายประการ เช่น ทำให้ไม่มีเวลาศึกษาพระธรรมอย่างเต็มที่ มีความห่วงกังวลในผลงาน มีความคาดหวังให้ลูกค้าพอใจซึ่งเป็นโลภะ มีความคาดหวังให้กิจการมั่นคงไม่ตกต่ำ มีความห่วงใยลูกน้อง การทำธุรกิจทำให้คิดถึงเรื่องผลกำไร ฯลฯ เป็นต้น ... และที่สำคัญ จะมีผลทำให้ความคิดปรุงแต่งในชีวิตประจำวันไม่ได้เป็นไปเพื่อการพิจารณาธรรมะที่ศึกษา ขาดความต่อเนื่องในการอบรมภาวนาทั้งปวง

เหตุผลของผมที่ยกมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่หวนระลึกขึ้นมาได้ในตอนนี้ ด้วยเหตุเหล่านี้ ที่ทำให้เกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะสละทิ้งให้หมด โดยผมได้ทยอยยกกรรมสิทธิ์ในของทั้งหมดให้ผู้อื่นไปหลายคน จนหมดภายใน ๒ เดือน โดยไม่คิดมูลค่าอะไรเลย ... แต่ก็เกิดความผิดหวัง จากการที่ผู้รับไปนั้นรักษาอะไรไว้ไม่ได้เลย เพราะพวกเขาไม่ได้สะสมหามาด้วยตนเอง จึงละลายทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์และเกิดโทษมากต่อตนเอง เพราะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการ เที่ยว กิน ดื่ม ฯลฯ

การปลงภาระทางโลก เป็นสิ่งที่ดีครับ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะผมประจักษ์ในผลที่ทำให้เกื้อกูลอย่างยิ่งในการศึกษาพระธรรม ... แต่อย่างไรก็ตาม การละทิ้งนี้จะต้องทิ้งไปโดยไม่มีส่วนเหลือของเยื่อใยหรืออาลัยในสิ่งที่ทิ้งไป "ดุจการทิ้งขยะเข้ากองไฟ เพื่อตั้งใจจะเผาทิ้งให้เป็นเถ้าถ่าน ไม่คิดเสียดาย หรือจะได้คืนกลับมาอีกเลย" ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงและแน่วแน่ที่จะสละทิ้งจริงๆ โดยเป็นปัญญาที่พิจารณาดีแล้ว เห็นชัดในโทษของการมีทรัพย์จริงๆ และซื่อตรงต่อความเป็นจริงว่า "มีจิตใจแน่วแน่ที่จะทิ้งแล้วจริงๆ จะไม่หวนกลับมาเดินทางนี้อีกแล้ว" และอีกประการหนึ่ง ต้องไม่ใช่ทิ้งไปเพราะไม่มีฉันทะในการทำงาน เกียจคร้านทำงาน รังเกียจความลำบาก ขาดความอดทน คือจะต้องเป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียรในทางโลกมาก่อนจึงจะดีมาก เพราะเกื้อกูลต่อการขวนขวายศึกษาในทางธรรม ซึ่งยากยิ่งกว่าทางโลกเสียอีก

ไม่ควรจะเป็นการทำไปด้วยความคิดชั่ววูบว่า "อยากจะบรรลุธรรม" หรือทำไป "เพื่อหวังจะบรรลุธรรมให้ได้เร็วๆ " ... ซึ่งการทำอย่างนี้ ถ้าหากผลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เนื่องจากการบรรุธรรมเป็นเรื่องยากมาก หากไม่มีเหตุปัจจัยให้บรรลุ ก็บรรลุอะไรไม่ได้เลยในปัจจุบันชาติ ... แล้วในที่สุดก็อาจจะทำให้เกิดความอาลัยในงานที่เคยทิ้งไปแล้ว เพราะยังมีโลภะมากอยู่ และหรือ เมื่อมีความเหนื่อยหน่ายหรือท้อแท้ในการศึกษาพระธรรม จิตใจก็จะคิดหวนกลับ อยากจะไปเริ่มทำธุรกิจใหม่อีกครั้ง โดยยังเล็งเห็นประโยชน์ของการทำธุรกิจนั้นว่า ทำเพื่อให้ได้ "มีเงิน" ไว้สนองโลภะได้ตามสะดวก อยากได้อะไรก็ซื้อหาได้ทันที เจ็บป่วยก็มีเงินมากพอที่จะรักษาได้ มีเงินไว้ทำทานและช่วยเหลือผู้อื่นๆ ฯลฯ ... ไม่มีการขัดสนเหมือนกับตอนที่ไม่ได้ทำงานแล้ว

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เซจาน้อย
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"การศึกษาธรรม เพื่ออบรมปัญญา ในการดับกิเลส สามารถประพฤติได้ทั้งเพศคฤหัสถ์และเพศบรรพชิต"

"ซึ่งเหตุให้เกิดปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม"

"การวางมือจากธุรกิจ โดยการออกบวช ไม่ใช่เหตุ ให้บรรลุธรรม ดับกิเลส"

"การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมต่างหาก ที่ทำให้บรรลุธรรม ครับ"

"ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ก็ต้องฟังพระธรรมจนกว่าจะเข้าใจ"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Lamphun
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ที่จะเลิกทำงานและจะเอาเวลาที่เหลือในชีวิตศึกษาพระธรรม ผมขออนุโมทนาด้วยครับ แต่ถ้าจะบวช อยากให้ศึกษาพระวินัยก่อนครับ

การจะวางมืออย่างไรนั้น ขอแนะนำให้คุณ utis เอากุศลธรรมเป็นที่ตั้งครับ เพื่อที่จะไม่เดือดร้อนทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่นในภายหน้า เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ทำต่อไปแล้วศึกษาพระธรรมไปด้วย อย่างที่คุณผู้ร่วมเดินทางแนะนำ เมื่อไม่ขาดการศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เพิ่มขึ้น จะทำให้คิดได้อย่างถูกต้อง ตามทำนองคลอง (ของพระ) ธรรม

การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่เบาสบาย อย่างที่ อ.คำปั่น บอกครับ ถ้าหนักอย่างนี้ เห็นทีจะมีอะไรผิดแล้ว เป็นกำลังใจให้นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ถ้าเข้าใจว่า "ธรรมคืออะไร"

อยู่ที่ไหนก็มีธรรมให้ศึกษาค่ะ

การเป็นฆราวาสดียังยาก จะกล่าวไปไยถึงการเป็นบรรพชิต

ดังนั้นควรรู้จักอัธยาศัยที่แท้จริงของตนเอง

และควรรู้จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมที่แท้จริงด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เข้าใจ
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

เห็นโทษอะไรครับ จึงคิดจะศึกษาพระธรรมและออกบวช จริงๆ แล้วชีวิตของคนเรานี่ถ้าตามอายุขัยแล้ว ก็จะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานเท่าไหร่ ถึงจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่เมื่อชีวิตได้เดินทางมาถึงวันสุดท้าย ก็ต้องทอดทิ้งทุกอย่างที่มีไป

ปัจจุบันนี้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็ยังอยู่ครบ ลองฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมดูก่อนครับ ว่าจะรับได้แค่ไหน ที่บ้านธัมมะนี้ มีผู้รู้และบัณฑิตอยู่มากครับ ที่คอยเกื้อกูลผู้ศึกษาพระธรรมให้ได้เข้าใจและถูกทาง ตรงตามพระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
พิมพิชญา
วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ชอบความเห็นคุณรากไม้มากๆ ค่ะ ขอกราบอนุโมทนา

ก็เลยนึกถึงพระสูตรบทนี้ขึ้นมา ขออนุญาตโพสให้อ่านกันนะคะ

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส

[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ มนุษย์ย่อมตายภายในร้อยปี แม้หากว่ามนุษย์ใดย่อมเป็นอยู่เกินไป มนุษย์ผู้นั้นย่อมตายเพราะชราโดยแท้แล.

[๑๘๒] ฯลฯ ...

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

อายุของพวกมนุษย์น้อย บุรุษผู้ใคร่ความดี พึงดูหมิ่นอายุที่น้อยนี้ พึงรีบประพฤติให้เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น เพราะความตายจะไม่มาถึงมิได้มี วันคืนย่อมล่วงเลยไป ชีวิตก็กระชั้นเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อย ย่อมสิ้นไป ฉะนั้น. ฯลฯ

[๑๘๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชนทั้งหลายย่อมเศร้าโศก ในเพราะวัตถุที่ถือว่าของเรา ความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยงมิได้มีเลย การยึดถือนี้ มีความพลัดพรากเป็นที่สุดทีเดียว กุลบุตรเห็นดังนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ครองเรือน.

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
nong
วันที่ 22 มิ.ย. 2555

... ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม เป็นผู้ใคร่ในการฟังพระธรรมอยู่เสมอ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ตาม ...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 มิ.ย. 2555
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและความเห็นที่มีคุณค่าดีครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ