อะไรปกติ อะไรไม่ปกติ

 
เข้าใจ
วันที่  11 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21244
อ่าน  1,082

โดยปกติมักลุ่มหลงจนเป็นปกติ ความไม่รู้ก็เกิดอยากรู้ สิ่งที่รู้ก็รู้มาจากผู้ที่ไม่รู้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่หมักดองความไม่รู้เอาไว้มาก ได้อ่านในเว็บไซต์มีความไม่เข้าใจครับ อะไรคือ ธรรมะให้ธรรมะทำหน้าที่ของธรรมะเองครับ ไม่ต้องไปทำให้ผิดปกติ คืออย่างไรครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โดยปกติของปุถุชน คือ มีความไม่รู้ มีกิเลสเกิดขึ้นเป็นปกติ และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เช่น เห็น ได้ยิน โลภ โกรธ หลง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเรียกว่า เป็นปกติ คือ เป็นปกติของสภาพธรรมทั้งหลายที่จะต้องเกิดขึ้น ดังนั้น จากคำถามถึงคำกล่าวที่ว่า

อะไรคือ ธรรมะให้ธรรมะทำหน้าที่ของธรรมะเองครับ ไม่ต้องไปทำให้ผิดปกติ คืออย่างไรครับ


- คำนี้ มุ่งหมายถึง การอบรมปัญญาที่เป็นการปฏิบัติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นการเจริญสติที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่ง การปฏิบัติ การอบรมปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานจะมีได้ ก็ต้องมีตัวธรรม ตัวธรรมนี้จะต้องเป็นธรรมที่ดี คือ สติและปัญญา รวมทั้ง เจตสิกฝ่ายดีอื่นๆ มี ศรัทธา หิริ เป็นต้น ที่เกิดร่วมกัน ทำหน้าที่ รู้ความจริง และ ละคลายกิเลสมีความไม่รู้ และความเห็นผิด เป็นต้น ดังนั้น เมื่อธรรมเกิดขึ้น ธรรมก็จะต้องมีกิจหน้าที่ คือ ปัญญาทำหน้าที่รู้ความจริง สติทำหน้าที่ระลึก คือ เป็นหน้าที่ ของธรรม และ คำว่า ให้ธรรมทำหน้าที่ของธรรมเอง หมายความว่า กำลังกล่าวถึง สังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่งเองของสภาพธรรม คือ เหตุให้เกิดสติปัฏฐาน เกิดสติ และปัญญา รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็ด้วยเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น อาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาที่เกิดจากการเข้าใจขั้นการฟังทีละน้อย จะปรุงแต่ง เป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้ สติและปัญญาเกิดเอง คือ ธรรมจะทำหน้าที่ ธรรม ในที่นี้ คือ สติและปัญญาขั้นการฟัง จะเกิดปรุงแต่งเพิ่มขึ้นทีละน้อย จนถึงที่สุด ก็จะทำให้เกิดสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ครับ ไม่ต้องไปทำให้ผิดปกติ คือ ไม่ต้องไปพยายามนั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่ผิดปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องพยายามที่จะละกิเลส ชีวิตประจำวันเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ก็อบรมเหตุ คือ การฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ธรรมจะทำหน้าที่เองคือ สติและปัญญาจะเกิด ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปเอง จนในที่สุด สติและปัญญาก็เกิดในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ เคยมีโลภะเกิดในชีวิตประจำวัน สติและปัญญาก็เกิดแทรกอกุศลในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขออธิบายเพิ่มเติม ในคำว่า ปกติ กับ ผิดปกติในการเจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญาและการทำอะไรที่ผิดปกติ และไม่ผิดปกติที่เป็นปกติในการอบรมปัญญา เป็นอย่างไร ดังนี้ ครับ

- เป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐาน คำว่าปกติ และ ผิกปกติในที่นี้ มุ่งหมายถึง ข้อปฏิบัติที่ เป็นการเจริญสติปัฏฐานสำหรับคฤหัสถ์ ก็มีชีวิตปรกติในชีวิตประจำวันที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพศพระภิกษุ ไม่ได้หลีกเร้น หรือ กระทำตัวให้เหมือนเพศบรรพชิต ที่ออกจากเรือน สละทุกอย่างแล้ว ดังนั้น คำว่า เป็นผู้ปรกติเจริญสติปัฏฐาน ก็คือ สติ และปัญญาสามารถเกิดได้แม้ขณะที่ดำเนินชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผู้มีปรกติ เจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน คือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การฏิบัติธรรม หรือ การเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นปกติ ก็คือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปกติในขณะนี้ที่มีธรรมเป็นปกติ แต่การปฏิบัติธรรม มิใช่ว่าจะต้องทำอะไรให้ผิดไปจากปกติ คือ ไปพยายามปฏิบัติให้รู้ธรรม ที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน คือ ทำผิดปกติ คือ ไปเข้าห้องกรรมฐาน ไปพยายาม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของคฤหัสถ์ที่กระทำในชีวิตประจำวัน เพราะว่า ธรรมไม่ได้รู้และมีที่ห้องกรรมฐาน หรือจะรู้ธรรมด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ ความเป็นผู้มีปกติ คือ รู้ธรรมที่มีปกติด้วยการศึกษา ฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เมื่อเหตุปัจจัย พร้อม สติปัฏฐานก็เกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังมีปกติ และก็เป็นผู้มีปกติ เจริญสติปัฏฐานแล้วในขณะนั้นโดยไม่ต้องไปทำอะไรผิดปกติ คือ ไปปฏิบัติที่ไม่ใช่หนทางรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ นั่นชื่อว่าผิดปกติในขณะนั้นครั เพราะผิดปกติด้วยความเห็นผิด และด้วยข้อปฏิบัติที่ผิดครับ แต่ถ้ามีปัญญา ย่อมเป็นปกติ เพราะเข้าใจว่าธรรมมีปกติในชีวิตประจำวัน และสติ ปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานก็สามารถเกิดเป็นปกติได้ในชีวิตประจำวันนั่นเองครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขอเรียนสอบถามเพิ่มเติ่มครับ

ความปกตินั้นเขาเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก ไม่ทันรู้อะไรชัดเจนเขาก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว โดยมากจะเป็นการคิดนึกตามหลังอยู่ตลอดเวลาไม่อารมณ์สักครั้ง ผมว่าชั่งยากจริงๆ โดยปกติผมค่อนข้างจะเข้าใจอะไรช้ามาก ต้องพิจารณาเป็นคำๆ จึงจะเข้าใจในเมื่อเปลี่ยนไปเร็วอย่างนี้แล้วจะเท่าทันอารมณ์หรือครับ คงต้องอาศัยการฟังและศึกษาอีกนาน

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างมากด้วยความเคารพ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ตามธรรมดาของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วมากครับ ตามที่ผู้ถามได้กล่าวไว้ถูกต้องแล้ว แต่การทันตามอารมณ์นั้น ที่เป็นปกติเกิด รวดเร็ว จะต้องเป็นเรื่องของปัญญาระดับสูง ซึ่งกว่าจะถึงตรงนั้น ก็ต้องอาศัยการอบรมปัญญาอย่างยาวนาน ครับ ซึ่ง ก็ค่อยๆ ฟังพระธรรม อบรมปัญญาต่อไป ค่อยๆ เข้าใจธรรม ไปทีละน้อย ธรรมจะทำหน้าที่ คือปัญญาขั้นการฟังจะเจริญขึ้น ก็จะถึงการรู้ความจริง ตามที่กล่าวมา ครับ

พระอริยบุคคลท่านก็เคยไม่รู้มาก่อน แต่ท่านก็ค่อยๆ อบรมปัญญา ไปทีละน้อย จนในที่สุด ก็รู้ความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ขออนุโมทนาใน ความเห็นถูกที่เข้าใจว่า การอบรมปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยการ อบรมอย่างยาวนาน

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การที่ปัญญา ความรู้ ความเข้าใจจะเจริญขึ้นนั้น จนกระทั่งสามารถระลึกรู้สภาพธรรม ที่กำลังมีกำลังปรากฏนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติ ด้วยความเห็นผิดและความไม่รู้ ไม่มีตัวตนที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติ เพราะการรู้สภาพธรรมที่มีจริงนั้น ก็รู้ได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติ สิ่งที่มีจริงที่จะรู้ได้ ก็รู้ได้ในชีวิต ประจำวัน

ที่สำคัญ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก มีมากน้อยแค่ไหน จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ถ้าไปทำอะไรที่ผิดปกติ นั่นเป็นเครื่องกั้นที่จะให้ปัญญาเจริญขึ้นแล้ว เนื่องจากว่า สิ่งที่ทำให้ผิดปกติ คือ ความเห็นผิด และ ความไม่รู้ ขณะนั้นปัญญาเกิดไม่ได้เลย มีแต่จะสะสมความเห็นผิดและความไม่รู้มากยิ่งขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้"

"ถ้าคิดจะทำก็เป็นตัวตน เป็นเครื่องเนิ่นช้า"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Graabphra
วันที่ 12 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 13 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 13 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ