ปุญญสูตร

 
pirmsombat
วันที่  10 พ.ค. 2555
หมายเลข  21099
อ่าน  2,009

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความตอนหนึ่งจาก ปุญญสูตร และ อรรถกถา

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 141๒. ปุญญสูตร

ว่าด้วยเรื่องอย่ากลัวต่อบุญเลย

[๒๐๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้

สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้กลัวต่อบุญเลย คำว่า

บุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบากอันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ที่ตนเสวยแล้วสิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลายที่ตน

ได้ทำไว้สิ้นกาลนาน เราเจริญเมตตาจิตตลอด ๗ ปีแล้ว ไม่กลับมาสู่โลกนี้

ตลอด ๗ สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อกัปฉิบหายอยู่เรา

เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เมื่อกัปเจริญอยู่ เราย่อมเข้าถึงวิมานเเห่ง

พรหมที่ว่าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เราเป็นพรหม เป็นมหาพรหม

เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครครอบงำไม่ได้ เป็นผู้สามารถเห็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน

โดยแท้ เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ อยู่ในวิมานพรหมนั้น ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ก็เราได้เป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ๓๖ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า

จักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระธรรมราชามีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต

เป็นผู้ชนะวิเศษแล้ว ถึงความเป็นผู้มั่นคงในชนบท ประกอบด้วยรัตนะ ๗

ประการ หลายร้อยครั้ง จะกล่าวไปไยถึงความเป็นพระเจ้าประเทศราชเล่า ดู

ก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพ

มากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะ

ผลวิบากแห่งกรรม ๓ ประการของเราคือ ทาน ๑ ทมะ ๑ สัญญมะ ๑.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-

พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษา

บุญนั่นแล อันสูงสุดต่อไปซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ

พึงเจริญทาน ๑

ความประพฤติสงบ ๑

เมตตาจิต ๑

บิณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการ

อันเป็นเหตุเกิดแห่งความสุขเหล่านี้แล้ว

ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้

สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.

จบปุญญสูตรที่ ๒

ข้อความตอนหนึ่งจาก อรรถกถาปุญญสูตร

ความประพฤติสงบ ๑

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 144

ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นำมาซึ่งความสุข

ความปราศจาความกำหนัด เป็นสุขในโลก

..............

เมตตาจิต ๑

บทว่า เมตฺตจิตฺตํ ความว่า ชื่อว่า เมตตา เพราะอรรถว่า รักใคร่

อธิบายว่า ผูกเยื่อใย. ชื่อว่า เมตตา เพราะความเจริญเป็นไปในมิตร หรือความ

เจริญนั่นเป็นไปต่อมิตร. พึงทราบวินิจฉัยเมตตาโดยลักษณะเป็นต้นต่อไปนี้

เมตตามีอันเป็นไปในอาการให้ประโยชน์เกื้อกูล เป็นลักษณะ

มีการนำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นรส

มีการปลดเปลื้องความอาฆาต เป็นเครื่องปรากฏ

มีการแสดงความพอใจของสัตว์ทั้งหลาย เป็นปทัฏฐาน

ความสงบพยาบาทเป็นสมบัติของเมตตานั่น

ความมีเสน่หาเป็นวิบัติของเมตตา ชื่อว่า

เมตตาจิต เพราะ จิตมี เมตตา.

กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษา พึงดำรงมั่น พึงเสพธรรมเป็นกุศล ๓ อย่าง

อันได้ชื่อว่า บุญ เพราะให้เกิดผลน่าบูชา และเพราะชำระสันดานของตน.

ความว่า บุญ ชื่อว่า อายตคฺคํ เพราะมีผลไพบูลย์

มีผลยิ่งใหญ่ หรือสูงสุดต่อไป เพราะมีผลน่ารักน่าพอใจ หรือเพราะเลิศด้วย

ความเจริญ คือ ด้วยความยิ่งใหญ่และสูงสุดด้วยปัจจัยมีโยนิโสมนสิการเป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง บุญ ชื่อ อายตคฺคํ เพราะเลิศ คือ

เป็นประธานทางความเจริญ อันเป็นผลน่าพอใจ. อธิบายว่า ต่อจากนั้นก็มีสุข

เป็นกำไร คือ มีสุขเป็นวิบาก.

ท่านถามว่า ก็บุญนั้นเป็นไฉน และกุลบุตรพึงศึกษาบุญได้อย่างไร.

ตอบว่า พึงบำเพ็ญทาน สมจริยา และเมตตาจิต.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สมจริยํ ได้แก่ ศีลอันบริสุทธิ์มีการประพฤติ

ระเบียบทางกายเป็นต้น เพราะเว้นความประพฤติที่ไม่เป็นระเบียบทางกาย

เป็นต้น . บทว่า ภาวเย ได้แก่ พึงให้เกิด คือ ให้เจริญในสันดานของตน.

บทว่า เอเต ธมฺเม ได้แก่สุจริตธรรมมีทานเป็นต้นเหล่านี้. บทว่า สุขสมุทฺรเย

ได้แก่ มีสุขเป็นอานิสงส์. อาจารย์บางพวกแสดงว่า แม้อานิสงส์ผลก็เป็นสุข

แท้ของธรรมเหล่านั้น. บทว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลกํ ได้แก่ โลกอัน

ไม่มีความเบียดเบียน คือ ไม่มีทุกข์ เพราะเว้นจากพยาบาท อันมีกามฉันทะ

เป็นต้น. แต่ไม่มีคำพูดถึงการไม่มีความเบียดเบียนต่อผู้อื่น. พรหมโลกของ

ฌานและบุญ ชื่อว่า เป็นสุข และชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว เพราะมากด้วย

ความสุข ด้วยอำนาจฌานและสมาบัติ. แต่บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมเข้าถึงโลก

อันเป็นสุข กล่าวคือความเป็นผู้มีสมบัติอื่นจากนั้นของบุญนอกนี้.

ด้วยประการดังนี้ ในสูตรนี้และในคาถาทั้งหลายท่านกล่าวถึงวัฏฏสมบัติ

อย่างเดียว ฉะนั้นแล.

จบอรรถกถาปุญญสูตรที่ ๒


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 10 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 10 พ.ค. 2555

ทาน ศีล ปัญญา สรุปว่า กุศลทั้งหมดเป็นบุญนิธิ เป็นที่พึ่งในภพหน้า ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kinder
วันที่ 10 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 10 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่เห็นโทษของกุศล และเห็นคุณประโยชน์ของบุญ (ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่

ชำระจิตใจให้สะอาดจากอกุศล) มีปัญญารู้ว่าบุญ เป็นที่พึ่ง นำสุขมาให้ ไม่นำความ

ทุกข์ความเดือดร้อนใดๆ มาให้ ก็ย่อมจะอบรมเจริญกุศล และสะสมกุศลไปเรื่อยๆ

ตามกำลัง เท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการได้ฟังพระธรรม ศึกษา

พระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งเป็นโอกาสที่สำคัญ

ในชีวิตจริงๆ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง

เท่านั้น ครับ

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 10 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ


 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pirmsombat
วันที่ 11 พ.ค. 2555

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น คุณเซจาน้อยและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 13 พ.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ