ผมเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นสอนในเรื่องกรรม และผลของกรรม

 
ปัณฑฬะ
วันที่  18 เม.ย. 2555
หมายเลข  20989
อ่าน  1,820

สัตวโลกเป็นที่ดูบุญและบาปและผลของบุญและบาป แสดงชัดว่าพระพุทธศาสนา

เน้นเรื่องกรรมและผลของกรรม ขอให้ท่านผู้รู้ช่วย ขยายความเข้าใจด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพุทธ ผู้รู้ คือ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ด้วยพระปัญญา ดังนั้น คำสอนของพระองค์ ย่อมเป็นไปตามความเป็นจริงของโลกที่เป็นสภาพธรรม และเป็นเหตุและเป็นผลกันและกันอย่างสมบูรณ์ พระองค์ตรัสรู้ความจริงว่า สภาพธรรม ที่มีจริง คือ มี จิต เจตสิก รูปและนิพพาน ซึ่ง จิต เจตสิกและรูปที่ประชุมรวมกัน ก็บัญญัติเรียกว่า สัตว์โลก แต่ในความเป็นจิต ก็เป็นการเกิดขึ้นและดับไปของจิต เจตสิก ซึ่งสัตว์โลก มีจิต แต่จิตมีหลายประเภท คือ มี ๔ ประเภทที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต (ผลของกรรม) และกิริยาจิต

ดังนั้น พระองค์ทรงแสดง หลักของเหตุผลที่ว่า กุศลจิตและอกุศลจิต เป็นเหตุ เป็นกรรม ส่วน วิบากจิตที่เป็นผลของกรรม เป็นผลที่มาจากเหตุ คือ กุศล หรือ อกุศลที่ทำ ครับ

กุศลที่เกิดขึ้น พร้อมกับเจตสิกที่เป็นเจตนาเจตสิก ชื่อว่า เป็กรรมที่เป็นกุศลกรรม ส่วน อกุศลที่เกิดขึ้น พร้อมกับเจตนาเจตสิก ชื่อว่า เป็นกรรมที่เป็นอกุศลกรรม อันเป็น เหตุ ซึ่งทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่เป็นกรรม เป็นเหตุ ทำให้เกิดผล คือ จิต เจตสิก ที่เป็น วิบากจิต เจตสิกและเกิดรูป ที่เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องของกรรมวาที คือ กล่าวในเรื่องของกรรม คือ กรรมมีและผลของกรรมมี เมื่อมีการทำเหตุ คือ ทำกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม ก็ย่อมมีผล คือ ผลของกรรมที่ เป็น จิต เจตสิกและรูป ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ดังนั้น กุศล ก็คือ บุญ อกุศล ก็คือ บาป สัตว์โลกที่เกิดขึ้น ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูป ก็แพราะอาศัย กุศล หรือ บุญ หรือ อกุศล หรือบาป ทำให้เกิดขึ้นได้ครับ เพราะ กุศลกรรมเป็นปัจจัย (บุญ) ทำให้เกิดเป็นสัตว์โลก ในสุคติภูมิ มีมนุษย์เป็นต้น เพราะอกุศลกรรม เป็นปัจจัย (บาป) ทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ดังนั้น สัตว์โลกที่เกิดขึ้น อันเกิดจาก บุญและบาป ก็แสดงให้เห็นครับว่า สัตวโลกเป็นที่ดูบุญ และ บาป เห็นมนุษย์ ก็เป็นที่ดูบุญและบาปได้ว่า เกิดจากบุญ (กุศลกรรม) ในอดีต ให้ผลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นสัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นที่ดูบาปได้ว่า เกิดจากบาป (อกุศลกรรม) ในอดีต ให้ผลทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน และหากละเอียดลงไปอีก ผลของกรรม ไม่ได้มีเฉพาะตอนที่เกิด ที่เป็นปฏิสนธิจิตเท่านั้น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ก็เป็นผลของกรรม อีกเช่นกันครับ

ดังนั้น ขณะที่เห็นใครเจ็บป่วย ทรมาน เพราะทุกขกายวิญญาณจิต คือ จิตที่รู้กระทบสัมผัสไม่ดี ที่เป็นผลของกรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บ นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นที่ดูบุญและบาปว่า เพราะ อกุศลกรรมในอดีต เป็นปัจจัยทำให้เขาต้องได้รับความทุกข์ทรมาน เจ็บปวด

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ที่สำคัญที่สุด ตัวเราเองนั่นและครับ ที่จะเป็นสัตวโลก เป็นที่ดูบุญและบาปและผลของบุญและบาปได้ดีที่สุด เพราะ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่เป็นผลของกรรม อันเกิดจากกรรมเป็นปัจจัยทั้งที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรม ทำให้เห็นสิ่งที่ดี ไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี ไม่ดี เพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น สัตวโลก คือ ตัวเราเองเป็นที่ดูบุญและบาปได้ดีที่สุด เพราะ ปัญญาย่อมรู้ตามความเป็นจริงครับว่า ขณะไหน เป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม ด้วยสติปัฏฐาน ที่ระลึกว่า ขณะนี้เป็นกุศลกรรม ไม่ใช่เรา ขณะนี้เป็นเห็น ที่เป็นผลของกรรม ไม่ใช่เรา นี่คือ การรู้ บุญ ลักษณะของกุศลอย่างแท้จริง และรู้ลักษณะของผลของบุญ ที่เป็น วิบาก มีการเห็น เป็นต้น อย่างแท้จริง สัตวโลกจึงเป็นที่ดูบุญและบาป จึงมีหลายระดับ ด้วยปัญญาระดับพิจารณา ด้วยการคิดนึก ที่เห็นว่า เป็นมนุษย์เพราะกรรมดี เป็นต้น และปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ขณะที่เป็นบุญ เป็นกุศล และ ขณะที่เป็นอกุศล เป็นบาป และขณะที่เป็นผลของกรรม คือ ขณะเห็น ได้ยิน ครับ

นี่คือ ดูด้วยปัญญา คือ ดูสัตวโลก คือ ตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น ในขณะจิตของตนเองที่เกิดขึ้น ตัวเราเองจึงเป็นที่ดูบุญและบาป และผลของบุญและบาปได้ดีที่สุดด้วยปัญญา ที่ดูและเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ครับ

พระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องของกรรม และผลของกรรม ที่เป็นกรรมวาที กล่าวในเรื่องของการกระทำที่เป็นเหตุและเป็นผล ด้วยประการฉะนี้ ครับ

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 576

ภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะเหล่าใดที่มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เหล่านั้นย่อมเป็นกรรมวาทะ (กล่าวว่า กรรมมี) เป็นกิริยวาทะ (กล่าวว่า กิริยามี) และเป็นวิริยวาทะ (กล่าวว่า วิริยะมี) พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะเหล่าใด ที่จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เหล่านั้นก็จักเป็นกรรมวาทะ กิริยวาทะ และวิริยวาทะ ถึงตัวเราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้ก็เป็นกรรมวาทะ กิริยวาทะ วิริยวาทะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 เม.ย. 2555

กรรมและผลของกรรมมีอยู่จริง ... พระธรรมเป็นคำสอน ... สอนสิ่งที่มีอยู่จริงทั้งที่ปุถุชนทั่วไปสามารถรู้ได้และรู้ไม่ได้ และสอนหนทางที่หลุดพ้นจากกิเลส ... จนถึงการพ้นจากสังสารวัฏ. คือไม่เกิดอีก พ้นจากกรรมและผลของกรรม ...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และทรงแสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรม ตามความเป็นจริงด้วย สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม กรรมและผลของกรรม ก็เป็นธรรม แต่ธรรมมีมากกว่านี้ เมื่อกล่าวโดยประเภทกว้างๆ แล้ว ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน หรือจำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรม กับ รูปธรรม สิ่งที่มีจริง ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ

สำหรับในส่วนของสัตวโลกเป็นที่ดูบุญและผล และผลแห่งบุญและบาป นั้น จะเห็นได้ว่า รูปร่างหน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ จนกระทั่งการได้ลาภ การเสื่อมลาภ การได้ยศ การเสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ล้วนแต่เป็นผลซึ่งเกิดจากเหตุ คือ กรรม ในอดีตที่แตกต่างกัน เพราะเหตุว่า เหตุในอดีตที่ต่างกัน ทำให้ผลในปัจจุบันต่างกันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นชีวิต ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า แต่ละบุคคลจะจากโลกนี้ไปวันไหน เวลาใด โดยอาการอย่างไร นอกบ้านหรือในบ้าน บนบก ในน้ำ หรือ ในอากาศ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บหรืออุบัติเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ และไม่ใช่เพียงการได้รับผลของกรรมในปัจจุบันเท่านั้นที่แตกต่างกัน แม้เหตุคือกรรม (การกระทำ) ในปัจจุบัน ก็หลากหลายแตกต่างกัน ดีบ้าง ชั่วบ้าง มากน้อยตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความวิจิตรของจิต เพราะการกระทำทุกอย่างที่ต่างกันนี้เอง จึงเป็นเหตุทำให้เกิดผลข้างหน้าแตกต่างกันออกไปด้วย ตามสมควรแก่กรรม

เพราะฉะนั้น “สัตวโลก เป็นที่ดูบุญและบาป และ (ดู) ผลแห่งบุญและบาป” นั้น จึงเป็นเครื่องส่องให้เห็นถึงผลซึ่งมาจากเหตุในอดีต และเหตุในปัจจุบันที่จะส่งผลในอนาคตข้างหน้า อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องกรรมและผลของกรรม

ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมแต่กรรมที่ดีงาม ขวนขวายในกุศลทุกประการ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นการสะสมเหตุที่ดี เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ด้วย จึงจะเป็นชีวิตที่ไม่เป็นโมฆะ กล่าวคือ เป็นชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากคุณความดี ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornchai.s
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ผู้ละทั้งบาป-บุญ-กรรม

คือ พระอรหันต์ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ศาสนาพุทธ เน้นเรื่องกรรมและผลของกรรม ที่สำคัญขาดไม่ได้ คือ เน้นเรื่องของปัญญา เน้นเรื่องหนทางข้อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ คือ การเจริญสติปัฏฐาน เน้นเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ที่สัตวโลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป เช่น คน ใครรูปสวย รวยทรัพย์ แสดงให้เห็นผลของกุศลที่เขาทำไว้แล้วในอดีต เห็นใครยากจน ก็เป็นผลของการที่ไม่ได้ให้ทานในอดีต ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ปัณฑฬะ
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ที่ช่วยให้ความกระจ่าง และขออนุโมทนาด้วยครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เซจาน้อย
วันที่ 20 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"กรรมยุติธรรมเสมอ เหตุดี ผลก็ย่อมดี"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
akrapat
วันที่ 24 เม.ย. 2555

ศาสนาพุทธ สอนเรื่องกรรมและผลของกรรมก็จริง แต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นที่กรรมปัจจุบันสำคัญที่สุด

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
swanjariya
วันที่ 27 เม.ย. 2556

การได้พบสัตบุรุษ ได้มีโอกาสฟังพระธรรม พิจารณาศึกษาพระธรรม

ยังศรัทธาให้เจริญมั่นคงยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ตั้งใจศึกษาพระธรรม

กราบขอบคุณ และอนุโมทนา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่านและผู้ที่เกี่ยวข้อง

ที่กรุณาให้ความรู้ความเข้าใจในธรรมะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ