การเถียงหรือการพูดโต้

 
พิมพิชญา
วันที่  16 มี.ค. 2555
หมายเลข  20792
อ่าน  2,495

การเถียงหรือการพูดโต้ มักเกิดขึ้นในการสนทนา

ไม่ทราบว่าหากในการสนทนาธรรมเป็นลักษณะเถียงหรือพูดโต้กันไปมา

บางทีก็ยกคำพูดของผู้ที่สูงกว่ามาโต้กัน จัดเป็นการสนทนาธรรมหรือไม่คะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การสนทนาธรรม คือ การสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดห็นเพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจของผู้ถามเอง และ ผู้ที่แสดงก็เพื่อประโยชน์คือให้ผู้อื่นเข้าใจ ดังนั้นก็ด้วยความเป็นผู้ตรงด้วยกุศล อันเป็นไปเพื่อเกื้อกูลกัน ด้วยจิตที่ดี ที่จะเพื่อเข้าใจขึ้นและให้ผู้อื่น เข้าใจขึ้น อันสนทนาด้วยธรรมที่ถูกต้อง แต่ขณะที่โต้เถียง พูดโต้กันไปโต้กันมา จิต ขณะนั้นเป็นอย่างไร ก็ด้วยอกุศลจิต ไม่ได้มีจิตที่อยากจะเข้าใจ หรือ ให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่เพื่อการเอาชนะ อันเป็นอกุศลจิต ก็ไม่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กลับ เสียประโยชน์ คือ เพิ่มโทษที่เป็นอกุศล ดังนั้น จึงไม่ใช่การสนทนาธรรม เพราะไม่ได้สนทนาด้วยธรรมที่ถูกต้อง อันเป็นไปเพื่อความเข้าใจทั้งสองฝ่าย ครับ แต่เป็นการโต้เถียงด้วย อกุศลจิต ครับ

ซึ่งในพระไตรปิฎกก็แสดงว่า มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง เห็นเจ้าลัทธิ หรือ บุคคลต่างๆ โต้เถียงกัน กล่าววาทะกัน บุคคลนั้นจึงทูลถามว่า ธรรมของพระองค์มีอะไรเป็นผลอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมของเราไม่ได้มีการโต้เถียง ทะเลาะกันเป็นผล แต่มีวิมุตติ คือ การหลุดพ้นเป็นอานิสงส์ ดังนั้น การสนทนาธรรมจึงต้องมีการสละกิเลส คือ ความไม่รู้และเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นสำคัญ ครับ นี่คือ การสนทนาธรรมจริงๆ และการกล่าวคำ ธรรม อันเป็นการโต้เถียงกัน เอาชนะกันหรือ มุ่งลาภ สักการะ เป็นต้น ชื่อว่า เป็นการศึกษาธรรมที่ผิด เป็นการจับงูพิษที่หาง งูย่อมกัดเขาได้ เพราะศึกษาธรรมผิด และการสนทนาที่โต้เถียงกันนั้น ก็เปรียบเหมือนการบ่นเพ้อธรรม คือ บ่นเพ้อในสิ่งที่กำลังมีอกุศลจิตอยู่ แม้จะกล่าว คำที่เป็นพระธรรมแต่จิตเป็นอกุศล ก็ชื่อว่าบ่นเพ้อด้วยอกุศล ไม่ชื่อว่าสนทนาธรรมเลย เพราะเป็นอกุศล ไม่ได้ประโยชน์ทั้งฝ่าย ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สนทนาธรรม ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูก ตามความเป็นจริงตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใ่ช่เพื่ออย่างอื่น ถ้ามีจุดประสงค์อย่างอื่นนอกจากนี้ เช่น เพื่อโต้เถียงกัน เพื่อแข่งดีกัน เอาชนะกัน อย่างนี้ ไม่ใช่ประโยชน์จากการศึกษาพระธรรม เลย เป็นการศึกษาผิด เพราะไม่ได้ตั้งจิตไว้ชอบตั้งแต่ต้น ย่อมเป็นไปเพื่อการพอกพูนกิเลสของตนเองให้มากยิ่งขึ้น ไม่ได้รับประโยชน์จากการศึกษาพระธรรมอย่างนี้เลย ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกอย่างยิ่ง ถ้าหากเข้าใจผิด แล้วมีผู้อื่นกล่าวเตือนเพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามพระธรรมและผู้ที่เข้าใจผิด ก็ต้องยอมรับความคิดเห็นว่าไม่ถูกต้องแล้วน้อมรับความถูกต้องตามพระธรรม อย่างนี้ไม่ใช่การโต้เถียงกัน แต่เป็นการอนุเคราะห์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ให้ออกนอกทางจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 16 มี.ค. 2555

การศึกษาธรรมะมี ๓ อย่าง

๑. อลคัททูปมาปริยัติ หมายถึง การศึกษาแบบจับงูพิษที่หาง คือ การยกตนข่มผู้อื่น ศึกษาแบบมีมานะ ว่าเราเก่งกว่า ดีกว่า ฯลฯ

๒. นิสสรณัตถปริยัติ ศึกษาเพื่อสละกิเลส

๓. ภัณฑาคาริยปริยัติ ศึกษาแบบขุนคลัง เป็นการศึกษาของพระอรหันต์เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Zeta
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
SOAMUSA
วันที่ 16 มี.ค. 2555

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

ดิฉันเห็นด้วยค่ะว่า ไม่ควรโต้เถียงกันเพื่อเอาชนะว่าใครเก่งกว่าใคร พระธรรมเป็นของสูง ไม่ควรนำพระธรรมมาดัดแปลงตบแต่งคำพูดเสียใหม่จน เหมือนคำพูดเล่นๆ กันธรรมดา เป็นการไม่เคารพพระธรรม กว่าพระพุทธองค์ จะทรงตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนานมาก มากกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสมณโคดมมีพระประสงค์เพื่อช่วยเวไนยสัตว์ด้วย มิใช่พระองค์จะพ้นไป จากวัฏฏะแต่เพียงลำพัง เราควรสำนึกและกตัญญูในพระมหากรุณาคุณของพระองค์ ในแต่ละชาติของพระองค์นั้นเราควรไปอ่าน ไปศึกษากันบ้างจะได้ซึ้งเข้าไปในหัวใจ และกระทำตนเองให้ได้ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์สอนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่นำพระธรรมมาแข่งดี แข่งเด่นกันตามเว็บ แค่ชื่อสมมติแล้วสมมติอีก ยังยึดติดให้เด่น ให้คนสรรเสริญ แค่คนไม่เคยเห็นหน้ากัน ยังเกาะกลุ่มกันทำวจีทุจริต เป็นกลุ่มเป็นก้อน ดิฉันว่าอย่าไปใส่ใจเลยค่ะ ถ้าท่านจะทำธรรมทาน เพราะเจตนา ในใจท่าน กุศลที่ท่านทำด้วยความตั้งใจจริง ไม่ได้มีสิ่งใดเคลือบแฝง ดิฉันถือว่า ธรรมทานนั้นท่านทำสำเร็จแล้วค่ะ ผู้ที่อ่านอยู่เงียบๆ นั้นมีแน่นอนค่ะ ดิฉันเป็นผู้หนึ่ง ที่นำธรรมะจากกระทู้ที่เว็บนี้ไปเผยแพร่เป็นประจำค่ะ และได้ความเข้าใจเสมอมาจากคำถามที่ตนเองได้ถามค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การสนทนาที่โต้เถียงกันนั้น ก็เปรียบเหมือนการบ่นเพ้อธรรม

คือ บ่นเพ้อในสิ่งที่กำลังอกุศลจิตอยู่ แม้จะกล่าว คำที่เป็นพระธรรมแต่จิตเป็นอกุศล

ก็ชื่อว่าบ่นเพ้อด้วยอกุศล ไม่ชื่อว่าสนทนาธรรมเลย

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สนทนาธรรม

ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูก

ตามความเป็นจริงตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พรสุธรรม
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนา

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
รากไม้
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ

โดยมากแล้ว การสนทนากัน คนเรามักจะเป็นผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง คืออยากให้คนอื่นๆ ฟังเรา ยอมรับความคิดเรา เข้าใจในสิ่งที่เราพูด จึงมักจะเกิดความขัดแย้งกันในความคิด ความเห็น ได้โดยง่าย เพราะความคิดคนเราย่อมหลากหลาย แตกต่างกันไปตามการสะสม

หากว่ามีการรับฟังด้วยความเคารพและให้เกียรติคู่สนทนา มากกว่าอยากจะพูดด้วยทิฏฐิและะมานะ ไม่มีการคิดโอ้อวดภูมิความรู้ และการสนทนาธรรมนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ในธรรมะ ให้รู้ในสิ่งที่ตนเองยังไม่เคยรู้มาก่อน มีการเปิดรับฟังกัน ... ความขัดแย้งกันในเรื่องความคิดเห็นส่วนบุคคลก็จะเบาบาง การเกิดโทสะที่เกิดจากการโต้แย้งกันก็จะไม่มีครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pat_jesty
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พิมพิชญา
วันที่ 18 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณมากค่ะ

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ