อยากรู้ว่าตัวเองไม่ดีแค่ไหน ให้อบรมเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆเนืองๆ

 
kinder
วันที่  28 ม.ค. 2555
หมายเลข  20455
อ่าน  1,350

ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขต์ บ่อยๆ แล้วอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะเห็นว่าวันๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่น อกุศลเกิดมากจริงๆ

กราบขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หลายท่าน คงเคยได้ยินถ้อยคำของผู้ที่ไม่สนใจพระธรรม หรือ เมื่อมีให้ผู้ให้ศึกษาพระธรรม ก็จะกล่าว่า ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องศึกษาอะไร นี่เพราะ ไม่ได้ รู้ใจตามความเป็นจริง เพราะไม่มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงในสิ่งที่สะสมมา และ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วยปัญญานั่นเองครับ

ปุถุชน คือ ผู้ที่หนาด้วยกิเลส หมายถึง มีกิเลส คือ สภาพธรรมที่ไม่ดี เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กิเลส อกุศลจิต เกิดแล้วอย่างรวดเร็วและเป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้กำลังเห็น อกุศลเกิดแล้วโดยไม่รู้ตัว ที่ยินดี พอใจในสิ่งที่เห็น หรือ ไม่ยินดี ไม่พอใจในสิ่งที่เห็นครับ แต่การจะรู้ความจริงว่า อกุศล มีและกำลังเกิดอยู่ ไม่ใช่เพียงขั้นนึกคิด เรื่องราวของสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว เช่น พอโกรธ ก็เข้าใจ คิดว่า มีความโกรธ กำลังโกรธ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าขณะไหนกันแน่ที่โกรธ ดังนั้น เพราะอาศัยทางสายเดียวที่เป็นไปในการละกิเลสจริงๆ คือ การเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้นว่าเป็นอกุศลธรรมที่กำลังเกิดขึ้น โดย รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการรู้ตรงลักษณะ โดยไม่ใช่การคิดนึก ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ว่า อกุศลธรรมเกิดขึ้น และเมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ย่อมเห็นกิเลสมากขึ้น เพราะชีวิตส่วนใหญ่ คือ จิตที่เกิดขึ้น เป็นไปด้วยอกุศลจิตเป็นส่วนมากนั่นเองครับ

หากปัญญาเจริญขึ้นจริงๆ ก็จะเข้าใจว่า ไม่ใช่คนดี แต่ส่วนใหญ่ไม่ดี เพราะเห็น กิเลสที่เกิดขึ้นด้วยการเจริญสติปัฏฐาน บ่อยๆ เนืองๆ นั่นเองครับ แต่แม้กิเลสจะมีมาก เกิดบ่อยเพียงไรก็ตาม แต่ปัญญาที่ค่อยๆ อบรม สะสม จากการเจริญสติปัฏฐาน ที่รู้ว่า กิเลสเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้และความเห็นผิด จนสามารถดับกิเลสได้ในที่สุดครับ สติปัฏฐาน จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้จักตนเองตามความเป็นจริงครับ ซึ่งก่อนจะถึง สติปัฏฐาน ก็ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจในเบื้องต้นก่อน ครับ

ขออนุโมทนาคุณ kinder ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 28 ม.ค. 2555
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับพืชเชื้อของกิเลส อันเป็นกิเลสที่ละเอียด ที่จะต้องถูกดับด้วยอริยมรรค (โสดาปัตติมรรค ถึงอรหัตตมรรค) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิต เกิดขึ้น และถ้ามีกำลังกล้า ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้ายต่อผู้อื่น เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมอกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่า ขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นไปด้วยโลภะบ้าง โทสะ บ้าง หรือ ถ้าไม่เป็นโลภะ หรือ โทสะ ก็เป็น โมหะ ตลอดเวลาที่จิตไม่เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล และ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง เป็นต้น จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะ โกรธมากๆ ก็ได้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส นั่นเอง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรมได้ว่า ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ สภาพธรรมที่จะสามารถดับกิเลสได้ ก็คือ ปัญญา อย่างเช่นพระภิกษุในสมัยครั้งพุทธกาล บางรูป ท่านเกิดความติดข้องเป็นอย่างมาก พอได้เข้าเฝ้าฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบารมีที่ตนเองได้สะสมมา ทำให้ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น หรือ บางรูป โกรธง่ายมาก ใครทำอะไรให้หน่อยก็โกรธ แต่พอได้ฟังพระธรรมจากพระองค์ ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ดับความโกรธได้อย่างเด็ด ไม่มีความโกรธทุกระดับเกิดขึ้นอีกเลย และในที่สุดแล้ว ก็จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง นี้คือ ประโยชน์ที่เกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถดับได้ในที่สุด

ดังนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยจริงๆ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้พระธรรมขัดเกลากิเลสในจิตใจของตนเองให้เบาบาง แล้วผลแห่งการเจริญปัญญาจะทำให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเองด้วยการเห็นโทษของกิเลสทั้งปวง มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ตามความเจริญขึ้นของปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถละคลายและดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 28 ม.ค. 2555
กราบขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 28 ม.ค. 2555

"... เป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมอกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานจนนับไม่ได้ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นว่าขณะจิตที่เป็นไปในแต่ละวันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปด้วยโลภะบ้าง โทสะ บ้าง หรือ ถ้าไม่เป็นโลภะ หรือ โทสะ ก็เป็น โมหะ ตลอดเวลาที่จิตไม่เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีลและ ไม่มีการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง เป็นต้น จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ..."

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 29 ม.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนานทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 31 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 2 ก.พ. 2555

กิเลสที่ยังไม่แสดงตัวออกมาให้เห็นยังมีอีกเพียบค่ะ เมื่อยังไม่ได้เหตุปัจจัยที่พอเหมาะก็ยังคงนอนเนื่องอยู่ในจิต (เป็นอนุสัย) กิเลสจะไม่เห็นกิเลสด้วยกัน ปัญญาเท่านั้นที่เห็นกิเลส ยิ่งมีปัญญามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะรู้จักกิเลสมากขึ้นเท่านั้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
patnaree
วันที่ 3 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 10 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ