เกิดความสงสัยและอยากรู้

 
tookta
วันที่  28 ม.ค. 2555
หมายเลข  20451
อ่าน  1,733

ในทางการแำพทย์ระบุว่าผู้หญิงที่อายุ ๔๐ ปีขึ้นไปไม่ควรมีุบุตรเพราะเด็กที่เกิดมาอาจจะพิการและไม่สมประกอบ แต่ในรายที่เราเห็นเป็นหญิงอายุ ๔๔ ปี ตั้งท้อง และคุณพ่อของเด็กอายุ ๔๘ ปี แต่ปรากฏว่าเด็กที่เกิดมากลับแข็งแรงและเฉลียวฉลาด (ตอนนี้เด็กคนนี้โตแล้ว) แต่ในรายที่เป็นหญิงอายุ ๒๐ ปีกว่าๆ ตั้งท้อง เด็กที่เกิดมากลับไม่สมประกอบทั้งๆ ที่คุณแม่คนนี้ก็เตรียมความพร้อมโดยดูแลสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดีก่อนที่จะตั้งท้อง เลยเกิดความสงสัยว่านี่เป็นกรรมลิขิตของแต่ละบุคคลใช่หรือไม่ หรือว่าชาติก่อนๆ มา เขาทำอะไรไม่ดีมาหรือถึงได้เป็นเช่นนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิด ที่เป็นปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรม เพราะ มีกรรมดี หรือ ไม่ดีที่ทำมา ย่อม เป็นปัจจัยให้เกิด ผลของกรรม คือ มีการเกิดนั่นเอง ดังนั้น ทราบได้เลยครับว่า การเกิด มีได้ เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยสำคัญ และ การที่ใครก็ตามจะเกิดมาเป็นอะไร เป็นคนที่สมประกอบ ไม่สมประกอบ ตั้งแต่เกิด จะเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก ก็ล้วนแล้วแต่เพราะกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีใครเลือก ไม่มีใครทำให้ เป็นกรรมลิขิตทั้งสิ้นครับ การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นผลของกุศลกรรมนำเกิด ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดี การเกิดในอบายภูมิ มี นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นผลของกรรม ที่เป็นอกุศลกรรมที่ทำมา ทำให้เกิดในภพภูมิที่ไม่ดีครับ ดังนั้น ในการเกิดเป็นมนุษย์ ในตัวอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดเป็นมนุษย์ที่สมประกอบ หรือ ไม่สมประกอบก็เพราะ กรรมดี ที่เป็นกุศลกรรมเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดเป็นมนุษย์ครับ

ส่วนการเกิดเป็นมนุษย์แตกต่างกันไป ก็เพราะกรรมอีกเช่นกัน การเกิดเป็นมนุษย์ ที่พิการเพราะผลของกุศลกรรม แต่เป็นกุศลกรรมที่มีกำลังน้อย หรือ เป็นกุศลกรรมอย่างอ่อนนำเกิด ปฏิสนธิจิตเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก อันเป็นผลของการกระทำความดีที่มีกำลังน้อย เป็นกุศลกรรมอย่างอ่อนนั่นเองครับ ดังนั้น ไม่มีใครเลือกได้ว่า ใครจะเกิดเป็นอะไร เพราะเป็นตามกรรมลิขิต ดังนั้น การที่พ่อ แม่ จะมีอายุเท่าไรหร่ก็ตาม ลูก ก็สามารถพิการ หรือ ไม่พิการตั้งแต่กำเนิดได้ หากกรรมที่เป็นกุศลกรรมยังอ่อน ให้ผล ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า กรรมของลูกให้ผล คือ กุศลกรรมอย่างอ่อนให้ผล ก็ทำให้เกิดมา พิการ ไม่สมประกอบตั้งแต่กำเนิด แต่แม้พ่อ แม่ จะอายุมาก แต่ลูกออกมาไม่พิการตั้งแต่กำเนิด กรรมของลูกนั้นเอง ให้ผล คือ เป็นกุศลกรรมที่เป็นมหากุศลที่มีกำลัง ทำให้ไม่พิการ ตั้งแต่กำเนิดครับ

ดังนั้น การจะเกิดมาพิการ ไม่พิการ สำคัญที่กรรมของลูกเอง ไม่ใช่กรรมของพ่อแม่นะครับ เป็นสำคัญ ตามที่กล่าวมา และพ่อแม่ก็ต้องมีกรรมที่จะต้องได้ลูกที่สมประกอบ หรือไม่สมประกบอด้วยเช่นกันครับ ส่วนอายุของพ่อแม่ เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ ที่หลักๆ คือ เรื่องกรรมของผู้ที่เกิดมา ที่เป็นบุตรเป็นสำคัญที่สุด ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tookta
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอบคุณมากนะคะที่อธิบายให้รู้เรื่องกรรมลิขิต

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 28 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ในภพภูมิใด นั้น แสดงให้เห็นว่ายังเป็นผู้มีกิเลสอยู่จึงยังต้องท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกรรมประเภทใด ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิอย่างเดียว, แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ตามสมควรแก่กรรม ทั้งที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ หรือ เหตุ ๒ [ถ้าปฏิสนธิจิตประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือเหตุ ๓ ก็จะเป็นผู้ไม่พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด] หรือไม่ประกอบด้วยเหตุใดๆ เลย

การเกิดเป็นมนุษย์ผู้พิการผิดปกติตั้งแต่เกิด เป็นผลของกุศลที่มีกำลังอ่อน เช่น มหากุศลดวงที่ ๘ ไม่ประกอบด้วยปัญญา มีเวทนาเป็นอุเบกขา เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน มหากุศลดวงนี้เวลาจะให้ผล ก็จะไม่ให้ผลเป็นอกุศลวิบากเลยเพราะเป็นไปไม่ได้ที่กุศลกรรมจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก แต่จะให้ผลเป็นกุศลวิบากประเภทที่เป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก อันเป็นผลมาจากเหตุ คือกุศลที่มีกำลังอ่อน ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้พิการ บ้า บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด แต่ถ้าเป็นผู้ผิดปกติหลังจากที่เกิดแล้ว นั้น เป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งเหตุย่อมสมควรแก่ผล เพราะการให้ผลของกรรม นั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุ คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น ถ้าจะกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ในภพนี้ชาตินี้ เกิดมาเป็นลูกของคนนี้ ซึ่งชาติก่อนก็ไม่รู้ว่าเกิดเป็นลูกของใคร และในชาติต่อไปจะไปเกิดเป็นลูกของใครอีก ก็ไม่สามารถจะทราบได้ เกิดมาในโลกนี้เพียงชั่วคราว ในที่สุดแล้ว ทั้งผู้ที่เป็นลูก และ ผู้ที่เป็นมารดาบิดา ก็จะต้องพลัดพรากจากกันด้วยความตายที่เกิดขึ้น สาระสำคัญของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ที่ความติดข้องผูกพัน หรือเป็นอกุศลมากๆ แต่อยู่ที่มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมและได้สะสมความดีต่อไปครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
homenumber5
วันที่ 4 ก.พ. 2555

เรียนท่านเจ้าของกระทู้

ความรู้ด้านวิทยศาตร์การแพทย์เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยน้อยนิด เมื่อเทียบกับพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่อาจมาเปรียบเทียบได้ การศึกษาพระธรรมจึงเป็นสมบัติยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้หลังพระปรินิพพาน จึงไม่ควรใส่ใจกับ ความรู้ทางโลก เพราะวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์อะไร ต้องมีเครื่องมือ ก่อนนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามี เชื้อแบคทีเรีย จนกระทั่งพบกล้งจุลทัศน์ซึ่งส่องพบเชื้อโรคนี้ได้ แต่พระพุทธเจ้าเคยตรัสแล้วว่า มีสัตว์ที่มีขันธ์เดียว หลายขันธ์ พระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยญาณทั้งสาม มีความจริงอีกมากที่พระธรรมจารึกไว้แต่วิทยาศาตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งสำคัญหากไม่เชื่อต้องพิสูจน์ด้วยการศึกษาจริงไหมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tookta
วันที่ 4 ก.พ. 2555

ขอขอบคุณท่านเจ้าของความคิดเห็นที่ 6 นะคะ คุณเป็นคนที่มีความลึกซึ้งในทางพุทธศาสนามากเลยนะคะ (ขอแสดงความนับถือมากๆ เลยนะคะ) ดิฉันจะพยายามพิสูจน์นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
homenumber5
วันที่ 5 ก.พ. 2555

เรียนเจ้าของกระทู้

ขออนุโมทนา ค่ะ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระยามารที่มาทูลให้ปรินิพพานหลังตรัสรู้ว่า พระพุทธองค์จะปรินิพพานเมื่อพุทธบริษัทสามารถสิกขาและเผยแพร่ บรรลุธรรมพอประมาณแล้ว ทั้งพระอัครสาวก อาทิท่านอนุรุทธาจารย์, พระเจ้าอโศกมหาราช, ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ ผู้พยายามฟื้นฟูพระเจดีย์พุทธคยา ให้กลับมาให้ชาวพุทธได้กลับไปนมัสการพระพุทธองค์กัน ท่านเหล่านี้ล้วนมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อชาวพุทธ และทุกท่านใช้เวลาชีวิตอย่างเอนกอนันต์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้ว ชาวพุทธที่ พร้อมทั้งกายใจ จึงสมควรทำหน้าที่ศาสนทายาท ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจและปกป้องด้วยการเผยแพร่อย่างถูกต้อง เพราะ พระธรรมเท่านั้นที่จะคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม ชาวพุทธเราโชคดีมหาศาลที่มีชีวิตจนมาถึงปีพุทธชยันตี (ชยันตี หมายถึงชนะมาร) ๒๖๐๐ (พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ครบ ๒๖๐๐ ปี) และยังมีพระไตรปิฎกไว้ มีคณาจารย์คอยอธิบาย เช่นใน มศพ. นี้เป็นต้น ขอให้ท่านได้พบกับสัจธรรมที่แท้ของพุทธองค์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 5 ก.พ. 2555

ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย เด็กเกิดมาฉลาดหรือไม่ฉลาด อยู่ที่การสะสม และที่สำคัญ กรรมเป็นหลัก ส่วนประกอบอย่างอื่นมีเพียงเล็กน้อย ที่เด็กเกิดมาไม่แข็งแรง ก็เพราะเคยเบียดเบียนสัตว์ ถ้าเชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะทำให้มั่นคงในเรื่องการทำความดี มั่นคงในการศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นหนทางและเป็นปัจจัยให้เราพ้นทุกข์ได้ในวันหนึ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
homenumber5
วันที่ 6 ก.พ. 2555

เรียนท่านเจ้าของกระทู้และท่านวิทยากรและทุกท่าน

ตามที่ท่านเจ้าของกระทู้สงสัยในเรื่องการค้นพบด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์แต่ผลกลับไม่เป็นไปตามนั้น ตามที่เคยเขียนไปแล้วว่า วิทยาศาสตร์ต้องหาเครื่องมือพิสูจน์ความจริง

ทั้งที่ความจริงนั้นๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว และพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ความจริงที่ทรงตรัสรู้มีอยู่แล้วไม่ว่าจะมีพุทธองค์หรือไม่มี ความจริงนั้นมีอยู่ สิ่งที่พุทธองค์ตรัสรู้คืออริยสัจจ ๔ ทางพ้นทุกข์ จากเวลาตรัสรู้มาถึงเวลานี้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ยังตามไม่ทัน สิ่งที่มีจริงและทรงตรัสรู้ไว้แล้วอาทิ ปลายปีก่อนในนสพ.ไทยรัฐ กรอบด้าน วิทยาศาสตร์ เขียนว่า นักวิทยาศาสตร์พบว่า ยีนส์ของคนเพศชาย ที่ xy ใน x มี y เล็กๆ ห้อยอยู่ (รายละเอียดกรุณาหาอ่าน) และในหญิงที่มียีนส์ xx ใน x นี้ก็มี y เล็กๆ ห้อยอยู่ด้วย

ซึ่ง ในพระอภิธรรม นั้นบันทึกว่า ในคนในกามาวจรนี้ ภาวะรูป มี สองคือ อิตถีภาวะรูป และปุริสภาวะรูป บันทึกมากว่า ๒๖๐๐ ปีแล้ว วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบและมาค้นพบในปี พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี (ทรงตรัสรู้มา ๒๖๐๐ ปีกว่า) เช่นนี้ แล้ว พอจะเป็นบทพิสูจน์ให้ชาวโลก รับได้ไหมว่า พระองค์ทรงตรัสรู้จริง ชาวบ้านมากมายยังเชื่อ หมอดูนอสตร้าดามุส แล้ว ความจริงทางวิทยาศสตร์ มาพบหลังจากพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ นี่ ยังบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่มีจริง ไม่ตรัสรู้ พระไตรปิฎกไม่มีจริง คนเขียนๆ เองแต่งเอง

ความเชื่อที่กล่าวมาข้างต้น คือมิจฉาทิฏฐิ หรือไม่คะท่านวิทยากร

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 6 ก.พ. 2555

เรียน ความเห็นที่ 10 ครับ

ถ้าปฏิเสธสิ่งที่มีจริง ปฏิเสธปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นความเห็นผิดได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ