ปัญหาเรื่องประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว

 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่  8 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20118
อ่าน  3,466

เรื่องในพุทธประวัติที่ปรากฏว่า พระโพธิสัตว์ประสูติแล้วเดินได้ ๗ ก้าว มีผู้แสดงความคิดเห็นในเชิงดูหมิ่นว่า ไม่อัศจรรย์อันใด เพราะลูกวัวลูกควายพอออกมาจากท้องแม่ ก็เดินได้วิ่งได้ทันที พระโพธิสัตว์ก็อยู่ในประเภทลูกวัวลูกควายนั่นเอง

จะพูดให้คนประเภทนี้ฟังอย่างไรจึงจะเป็นการแก้ปรัปวาทได้โดยสหธรรม

ขอขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่เหมือนกันบางอย่าง ไมได้หมายความว่า บางอย่างที่เหมือนกัน จึงสรุปว่า ทั้งสอง สิ่งนั้นจึงเหมือนกันทั้งหมดครับ เมื่อกล่าวกันโดยสัจจะ ความจริง สัตว์โลกที่สมมติขึ้นว่า เป็น มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดา เป็นต้น มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ จิต เจตสิกและรูป คือ มี ขันธ์ 5 มีสภาพธรรมเหมือนกัน มี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่ เหมือนกันเหล่านั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัดสินว่า มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว เทวดาทั้งหมดจะ เหมือนกันทุกอย่าง เพราะอะไรครับ เพราะ จิต ไม่ได้มีดวงเดียว ไม่ได้มีประเภทเดียว เจตสิกไม่ได้มีดวงเดียว ประเภทเดียว และรูปก็ไม่ได้มีรูปเดียว ประเภทเดียว ดังนั้น จิต มีหลากหลาย เจตสิกก็มีหลายหลาย รูปก็หลากหลาย ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกันไปครับ จิตที่หลากหลาย มีทั้ง จิตที่ดีและ จิตที่ไม่ดี เป็นต้น เจตสิกที่หลากหลาย ก็มีทั้งเจตสิก ที่ดีและเจตสิกที่ไม่ดี เป็นต้นและรูปที่หลากหลาย ก็มีรูปที่ประณีต และ ไม่ประณีต เป็นต้น ดังนั้น สัตว์โลกต่างกัน ตามการสะสม ตามประเภทของจิตที่เกิดต่างๆ กัน สัตว์เดรัจฉาน เมื่อ เกิดขึ้น เดินได้ทันที

เพราะการเดินได้ ไม่ได้ตัดสินว่า สัตว์นั้นจะประเสริฐ เพราะเดินได้เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาธรรมส่วนอื่นๆ นั่น คือ จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น เพราะสัตว์จะประเสริฐ บริสุทธิ์ ด้วยคุณธรรม ด้วย จิตที่ดี จิตที่บริสุทธิ์และเจตสิกทีดีเกิดขึ้นครับ เพราะฉะนั้น สัตว์ เดรัจฉาน เกิดด้วยผลของกรรมที่เป็น อกุศลวิบาก จึงเป็นสัตว์ในทุคติภูมิ ด้วยเกิดจากผล ของกรรมที่ไม่ดี จึงไม่สามารถบรรลุ และอบรมปัญญาได้ ส่วนมนุษย์ ที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แม้จะเกิดมา แต่เดินไม่ได้ ก็ไม่ได้ตัดสินที่เดินไมได้ จึงไม่ประเสริฐ ไม่อัศจรรย์ เพราะ ตามที่กล่าวแล้ว สัตว์จะประเสริฐ บริสุทธิ์ได้เพราะจิตที่ดี ที่บริสุทธ์ มนุษย์เกิดด้วยผล ของกุศลกรรม หากสะสมความดี จิตที่ดีและเจตสิกที่ดีมา ก็สามารถเป็นผู้ประเสริฐ เพราะ สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้ครับ นี่คือ ความต่างกันของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน แม้ บางอย่างเหมือนกัน คือ มี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เหมือนกัน แต่ก็ต่างกัน ตามจิต เจตสิกทีเกิดขึ้น แตกต่างกันไป ตามการสะสมและตามผลของกรรมที่ทำให้เกิดแตกต่าง กันครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

เห็นไหมครับว่า เราคงไม่ตัดสินเพียงบางอย่างเท่านั้น แต่ธรรมเป็นเรื่องละเอียดที่จะ ต้องพิจารณาไปถึง สัจจะ ความจริงที่เป็นตัวปรมัตถธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูป และ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่บัญญัติว่าเป็นมนุษย์และสัตว์ครับ

คราวนี้ก็มาเปรียบเทียบประเด็นต่อไปในระหว่าง พระโพธิสัตว์ที่ประสูติก็เดินได้กับ สัตว์ก็เดินได้ ดูไม่ต่างกับลูกวัว ลูกควาย ตามที่กล่าวแล้ว ในความเห็นข้างต้น สิ่งที่ เหมือนกันบางอย่าง (มีจิต เจตสิก รูปเหมือนกัน) แต่ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทั้งหมด และความเห็นที่กล่าวมา แม้สัตว์เดินได้ แต่มนุษย์ทั่วไปเดินไม่ได้ สัตว์ก็ไม่ได้อัศจรรย์ กว่ามนุษย์เพราะเดินได้ครับ แต่ต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วยครับ

ส่วนพระโพธิสัตว์ประสูติเดินได้ เหมือนกับสัตว์ แต่ต่างกันที่ จิตทีเกิดขึ้นของพระองค์ จิตนั้นสะสมคุณความดีมามากมาย บำเพ็ญบารมีมานับไม่ถ้วน จิตนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดี พร้อมๆ กับเจตสิกที่ดีทีเกิดขึ้น โดยเฉพาะ ปัญญาเจตสิก คือ ความเห็นถูก ที่พระองค์สะสม ปัญญามามากมาย เมื่อก่อนประสูติ พระองค์ก็มีสติสัมปชัญญะ ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ ขณะ ที่อยู่ในครรภ์ก็มีสติ สัมปชัญญะและเมื่ออกจากครรภ์ ขณะที่ประสูติ พระองค์ก็มี สติ สัมปชัญญะ นี่คือ ความแตกต่างกันของปัญญา ของความรู้ตัว มีสติ สัมปชัญญะ ซึ่ง แม้ มนุษย์ปุถุชน ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะทั้ง 3 กาล คือ ขณะที่เกิด (ปฏิสนธิ) ขณะที่อยู่ใน ครรภ์และขณะที่คลอด (ข้อความในอรรถกถา สัมปสาทนียสูตร) ไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ เดรัจฉานเลยครับ ที่เป็นภพภูมิที่ต่ำว่ามนุษย์ อันนี้แสดงให้เห็นถึงความต่างของ พระ โพธิสัตว์ กับ สัตวเดรัจฉาน ที่เป็นนามธรรม ที่เป็น สติและปัญญาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ก็ตาม แต่พอที่จะเข้าใจได้ครับ

คราวนี้ มาพูดถึงสิ่งที่สามารถเห็นได้ทางตา หากเราอ่านรายละเอียดในพระธรรม ตอน ที่พระโพธิสัตว์ประสูติ พระโพธิสัตว์ ไม่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก ดังเช่น มนุษย์เมื่อคลอด หรือ สัตว์เดรัจฉานคลอด จะมีสิ่งสกปรก มี น้ำคร่ำ เป็นต้น พระโพธิสัตว์ บริสุทธิ์สะอาด นี่ก็ต่างกันประการหนึ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

พระโพธิสัตว์ประสูติ ยืนลงมาทันที เหมือนพระธรรมกถึก ลงมาจากธรรมาสน์ เหมือน บุคคลเดินลงจากบันได ไม่มี ขาอ่อนแรง ต้องค่อยๆ ขยับตัว ให้ทรงตัวได้ เหมือนสัตว์ เดรัจฉานที่คลอดแล้ว ตัวก็ล้มลงไปก่อน ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หรือ ยืนได้ ก็ขายังไม่มั่นคง นี่ก็ต่างกันประการหนึ่ง

พระโพธิสัตว์เมื่อประสูติ พระพรหมทั้ง ๔ องค์ ก็มารองรับด้วยข่ายทอง ต่างกับสัตว์ เดรัจฉาน และมนุษย์ที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ และเมื่อพระองค์ประสูติ สายธารสองสายก็ไหลลง มารด พระโพธิสัตว์ ผู้ประสูติ เพื่อบูชาพระองค์

ประวัติต่อมาก็คือ พระโพธิสัตว์มีปัญญาสะสมมามาก จึงเหลียวมองทั้ง 10 ทิศ ตรวจดู ด้วยปัญญาของพระองค์ ว่าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าพระองค์เลยในทิศไหนๆ จึงเสด็จดำเนินไป เจ็ดก้าวเปล่งอาสภิวาจา วาจาที่เปล่ง ว่าพระองค์เป็นผู้เลิศที่สุดครับ

จะเห็นนะครับว่า แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พระองค์มีปัญญา พิจารณาใคร่ครวญตามความเป็นจริง แล้วจึง เดินด้วยเป็นพุทธประเพณีที่จะต้องเสด็จไปเจ็ดก้าวและก็เปล่ง อาสภิวาจาครับ แต่สัตว์ เดรัจฉาน มากไปด้วยความไม่รู้ เดินได้ แต่ก็ไม่รู้อะไร หลงลืมสติ ปราศจากปัญญาครับ นี่คือ แตกต่างกันอย่างแท้จริง และขณะที่พระโพธิสัตว์ประสูติ แผ่นดินก็ไหว บุพนิมิต นิมิตอันประเสริฐ 32 ประการ มี แผ่นดินไหว เป็นต้นก็เกิดขึ้น เป็นความอัศจรรย์ของผู้มี บุญครับ ซึ่งสัตว์อื่นไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เลย เพราะไม่ไ่ด้สะสมบุญ บารมีมาเท่าพระองค์

จะเห็นนะครับว่า การเดินได้ แม้เหมือนกัน แต่ต่างกัน ที่ความมีปัญญา สติสัมปชัญญะ แม้กำลังจะเดิน แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นผู้หลง ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญาเหมือนพระองค์เลย ครับ และ จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น สะสมมาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามที่ได้อธิบายมา คนที่จะเชื่อก็ต้องสะสมศรัทธา สะสมปัญญามาจึงจะเลื่อมใส เชื่อในเหตุผลในพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรม ไม่สาธารณะกับสัตว์โลกทุกคน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ สะสมศรัทธา มีความเห็นผิด ก็ไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่อธิบายเลยครับ แต่ความจริงไม่ เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าผู้นั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
daris
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขออนุญาตเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมครับ (แต่คนละประเด็น) ผมมีความเชื่อมั่นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ขององค์พระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริงแน่นอน แต่ยังสงสัยว่า ท่านประสูติ ออกมาแล้วเดิน ๗ ก้าว ฯลฯ จริงรึเปล่า เช่นนี้ถือเป็นวิจิกิจฉาหรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

เรียน ความเห็นที่ 5 ครับ

แน่นอนครับ ยังไม่แน่ใจ ยังลังเลสงสัยว่า จริงหรือไม่จริง ในคุณธรรมของพระพุทธเจ้า

จริงว่าประสูติแล้วเสด็จดำเนินได้ ๗ ก้าวหรือไม่ ซึ่งผู้ที่จะดับ วิจิกิจฉาได้หมด ไม่เกิดอีก คือพระโสดาบัน เมื่อไหร่ที่ประจักษ์พระนิพพานและปัญญาถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็รู้ตามที่พระองค์ทรงแสดง ก็จะไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ลังเลสงสัยในเหตุที่ทำให้พระองค์เสด็จดำเนินได้เมื่อประสูติครับ เพราะทุกอย่างมีเหตุทั้งหมดครับ ดังนั้นความสงสัยเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แต่ประโยชน์คือเข้าใจความเป็นธรรมดา และเป็นธรรมแม้ความสงสัยก็ไม่ใช่เรา จนกว่าจะมั่นคงว่าเป็นธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
daris
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

กราบขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมที่กรุณาอธิบายให้ความกระจ่างครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระุภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโพธิสัตว์ผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลกนั้น ย่อมมีสิ่งที่พิเศษกว่าบุคคลอื่น ไม่เหมือนบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน ทั้งความคิด การกระทำ พร้อมทั้งความเป็นไปต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระองค์ ล้วนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น

พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเหมือนอย่างพระองค์ ทั้งเทวดา มนุษย์ พรหมทั้งหลาย ต่างก็เคารพสักการะบูชาพระองค์ผู้ยิ่งด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณโดยที่ไม่มีใครเปรียบเทียบได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เสียสละทั้งก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ตลอดระยะเวลาของการประกาศพระศาสนาเป็นเวลา ๔๕ พรรษา วันหนึ่งๆ พระองค์ทรงพักผ่อนน้อยมาก ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า ไม่มีใครแสดงพระธรรมมากเท่าพระองค์ ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกของสัตว์โลกอย่างแท้จริง จึงทำให้ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ได้ฟัง ได้ศึกษา จากที่เคยเต็มไปด้วยกิเลสนานาประการ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสตามลำดับมรรค ได้ สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ถ้ายังไม่ได้บรรลุก็สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไปในภายหน้า

ดังนั้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือ พระธรรมคำสอนของพระองค์, พระธรรมแต่ละคำๆ นั้น มีค่ามาก เป็นวาจาสัจจ์ ที่แสดงความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง และทั้งหมดนั้นก็มาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัปป์กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ ที่ควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ต่อไป ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

พระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ทันที.......

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วิริยะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
วิริยะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

เรียนถาม

เข้าไปอ่านตาม link ที่ได้ให้มา แล้วพบประโยคที่ว่า "พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ ถ้วนทศมาส" อยากทราบว่า คำว่า ทศมาสนั้น คือระยะเวลานานเท่าไรคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

เรียน ความเห็นที่ 10 ครับ

ทศมาศ คือ ระยะเวลา ๑๐ เดือนครับ ดังนั้นเมื่อใช้คำว่า ถ้วนทศมาศ คือ ระยะเวลา ๑๐ เดือนเต็มนั่นเองครับ ที่พระโพธิสัตว์ อยู่ในครรภ์พระมารดา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 8 ธ.ค. 2554

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 20118 ความคิดเห็นที่ 10 โดย วิริยะ

เรียนถาม

เข้าไปอ่านตาม link ที่ได้ให้มา แล้วพบประโยคที่ว่า "พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ ถ้วนทศมาส" อยากทราบว่า คำว่า ทศมาสนั้น คือระยะเวลานานเท่าไรคะ

ทศมาศ คือ ระยะเวลา ๑๐ เดือน ครับ (ทศหรือทส แปล ๑๐ มาส แปลว่า เดือน)

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
daris
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ทุกท่านและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับ ที่ให้ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pamali
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น...

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ๆ ท่านค่ะ......

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wannee.s
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

ทุกคนเกิดมาสะสมการพูด การคิด การกระทำ ไม่เหมือนกัน จะไปห้ามไม่ให้เขา คิดอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม อัญญเดียรถีย์บางพวกก็เชื่อ บางพวกก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องหวั่นไหวกับ คำพูดของคนทึ่ไม่ีมีศรัทธราค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

แม้เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นในชีวิตประจำวันในยุคสมัยนี้ แต่ความมั่นคงในพระธรรม ในเหตุและผลย่อมคล้อยตามได้ค่ะ

ขอบพระคุณและอนุโมทนา อาจารย์ผเดิม อาจารย์คำปั่น และผู้ร่วมสนทนาทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 20118 ความคิดเห็นที่ 12 โดย khampan.a

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 20118 ความคิดเห็นที่ 10 โดย วิริยะ

เรียนถาม

เข้าไปอ่านตาม link ที่ได้ให้มา แล้วพบประโยคที่ว่า "พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ ถ้วนทศมาส" อยากทราบว่า คำว่า ทศมาสนั้น คือระยะเวลานานเท่าไรคะ

ทศมาศ คือ ระยะเวลา ๑๐ เดือน ครับ (ทศหรือทส แปล ๑๐, มาส แปลว่า เดือน)

ขอเรียนถามต่อ จะว่าเป็นประเด็นเดียวกัน หรือคนละประเด็น ก็ไม่ทราบ คือ ในยุคพุทธกาลโน้น เท่าที่พบ ปรากฏว่าเด็กจะอยู่ในครรภ์มารดา "ถ้วนทศมาส" ทั้งนั้น สงสัยว่า ในยุคนี้ทำไมจึงไม่มีเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดาถ้วนทศมาส เพราะเห็นมีแต่ ๗ เดือน ๘ เดือน หรืออย่างนานหน่อยก็ไม่เกิน ๙ เดือน จะอธิบายด้วยเหตุผลทางธรรมก็ได้ หรือถ้าอธิบายด้วยเหตุผลทางการแพทย์ได้ก็ยิ่งดี

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
paderm
วันที่ 9 ธ.ค. 2554

เรียน ความเห็นที่ 18 ครับ

ในสมัยพุทธกาลและสมัยนี้ อายุขัยของมนุษย์แตกต่างกันไปครับ ในยุคสมัยพุทธกาล อายุขัยของมนุษย์ คือ 100 ปี ปัจจุบันอายุขัยสัตว์โลก 75 ปี ดังนั้น อายุของมนุษย์ก็สั้น ลง อายุขัยของการคลอดที่อยู่ในครรภ์ก็ค่อยๆ น้อยลง ตามอายุขัยของมนุษย์ที่น้อยลง ด้วยครับ และอีกประเด็นหนึ่ง อาหารในปัจจุบันกับในสมัยพุทธกาลแตกต่างกัน คือ ใน พระไตรปิฎกแสดงไว้ครับว่า เมื่อถึงยุคเสื่อม ใกล้พระศาสนาอันตรธาน ผู้คนมากไปด้วย กิเลส เมื่อผู้นำและผู้คนไม่มีคุณธรรม ก็ทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าว พืชต่างๆ ก็ ออกผลไม่ดี ออกไม่ถูกฤดู อาหาร ข้าว ผลไม้ต่างๆ ก็มีปัญหา ก็ทำให้อาหารไม่มีคุณภาพ (และฉีดยาฆ่าแมลงด้วย) เมื่ออาหารไม่มีคุณภาพก็ส่งผลให้สัตว์ อายุสั้นลง เด็กในท้อง ก็คลอดก่อนเวลาอันควรได้ เพราะอาหารมีผลต่อสุขภาพ และ เมื่อสัตว์อายุสั้นลง เด็ก ในครรภ์ก็อยุ่ในครรภ์ตามเวลาที่อายุขัยของมนุษย์สมัยนี้ที่สั้นลงด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ถ้าใช้สำนวนในมิลินทปัญหา ก็คงต้องขออนุญาตกล่าวว่า "ที่พระคุณเจ้าว่ามานี้ น่าฟัง"

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
best46
วันที่ 29 เม.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 18

ปัจจุบันก็มีนะครับที่บางคนตั้งท้องถึง 10 เดือน ไม่ใช่เรื่องที่เกินฐานะที่จะเกิดขึ้นได้

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
boonpoj
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ