บุคคลจะได้สิ่งใดเพราะผลของกรรม ไม่ใช่เพราะความอยาก ความต้องการใดๆ

 
Zeta
วันที่  3 พ.ย. 2554
หมายเลข  19954
อ่าน  1,346

การจะเห็น ได้ยิน หรือเป็นเจ้าของสิ่งใดๆ ไม่ใช่เพราะความอยาก ความต้องการมาก แต่

เป็นเพราะผลของกรรม รบกวนช่วยขยายความด้วยค่ะ เพราะบางครั้งคนเราใช้เงินเพื่อซื้อ

สิ่งของที่ต้องการตามกิเลส ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม เสื้อผ้าสวยๆ อาหารอร่อยๆ หรือชอบมอง

ผู้หญิงสวย ซึ่งเป็นวิบากที่เกิดขึ้นปรากฏ เป็นผลของกรรมและการให้ผลของกรรมใช่มั้ยคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจครับว่า วิบากที่เป็นผลของกรรม ก็คือ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น วิบาก

ที่เป็นผลของกรรมในชีวิตประจำวันในขณะนี้ ก็เช่น ขณะที่เห็น (จิตเห็น) ขณะที่ได้ยิน

(จิตได้ยิน) ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส นี่คือ วิบากที่เป็นผลของกรรม ซึ่งวิบากที่เป็น

ผลของกรรม ก็ต้องมีเหตุจึงจะเกิดขึ้น การเห็น ที่เป็นวิบาก มีเหตุจาก การกระทำกุศล

กรรม หรือ อกุศลกรรมในอดีต ให้ผล จึงทำให้มีการเห็น หากเป็นผลของกรรมที่ดี ก็ทำ

ให้เห็นสิ่งที่ดี หากกรรมไม่ดีให้ผลก็ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ดี แม้ทางหู จมูก ลิ้น กายก็โดย

นัยเดียวกัน เกิดจากการกระทำกรรมที่ดี หรือ ไม่ดีในอดีตให้ผล ทำให้เห็นได้ประสบสิ่ง

ที่ไม่ดีทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายครับ

ส่วนกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะ ความติดข้อง ต้องการ ไม่เป็นเหตุให้เกิด

การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส โดยนัยของปัจจัยที่เป็น

กรรมปัจจัยเลยครับ ขณะที่มีความต้องการที่จะมอง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นโลภะ แต่ถ้า

กรรมนั้นไม่ให้ผล ก็ไม่สามารถให้เกิดการเห็นได้ครับ คนตาบอดก็มีความต้องการที่

จะเห็น แต่ไม่มีกรรมเป็นปัจจัยในอดีตที่จะให้เห็น การเห็นก็ไม่เกิดขึ้น คนหูหนวกก็

โดยนัยเดียวกันครับ แม้มีกิเลสที่เป็นโลภะ ต้องการจะได้ยิน ก็ไม่สามารถจะได้ยินได้

เพราะไม่มีกรรมที่เป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2554

การจะได้สิ่งอะไรมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ อันสมมติว่า เพราะซื้อมาด้วยเงิน

ที่มี หาซื้อได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การได้มาสิ่งใด สิ่งหนึ่งก็เป็นเพียง การได้เห็น

ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ซึ่งเป็นเพียงวิบากเท่านั้น ที่เป็นผลของกรรม อัน

เกิดจากกรรมที่ได้ทำมาในอดีต จึงได้เห็นสิ่งนั้น ได้ยินสิ่งนั้น แต่ขณะที่คิดนึกเป็นรูป

ร่างสัณฐาน เป็น เพชร เป็นสิ่งของต่างๆ ขณะนั้นไม่ใช่วิบากแล้ว แต่เป็นการคิดนึก

ทางใจครับ ซึ่งแม้ขณะที่มีความต้องการที่จะซื้อด้วยโลภะ แม้มีโลภะ แม้มีเงิน ตาม

สมมติ ก็ไม่จำเป็นจะได้สิ่งใด สิ่งหนึ่งตามความต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องได้เห็นสิ่ง

นั้น เพราะขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตที่ทำไว้เป็นสำคัญครับว่าจะให้ผลให้เห็นสิ่งนี้ ได้ยิน

สิ่งนี้ ได้กระทบสัมผัสสิ่งนี้หรือไม่ กรรมเป็นปัจจัยเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกิเลส

ความต้องการที่เป็นโลภะ หรือ เงิน ที่สมมติเป็นสำคัญครับ

ซึ่งในชาดกก็มีตอนหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า บุคคลบางคนได้รวบรวมทรัพย์

ไว้ แต่ก็ไม่ได้ใช้ ทรัพย์นั้นย่อมตกเป็นของผู้มีบุญและได้ทรัพย์นั้น ได้ใช้ทรัพย์นั้น จึง

เป็นเรื่องของกรรมในอดีตที่ทำมาเป็นสำคัญครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมสนทนา ด้วยครับ ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก สำคัญที่ความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของภาพธรรม ซึ่งเมื่อว่าโดยขณะแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากจิตทีละขณะๆ เลย เพราะชีวิตที่ำดำเินินไปในแต่ละวันๆ นั้น ล้วนเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะๆ เท่านั้นจริงๆ มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่ว่าจะป็นอย่างนี้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น จิตที่เกิดขึ้นเป็นการได้รับผลของกรรม ได้รับสิ่งที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนาบ้าง จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เหตุที่ดี ย่อมให้ผลที่ดี เหตุที่ไม่ดี ก็ย่อมให้ผลที่ไม่ดี เป็นไปไม่ได้ที่เหตุดี จะให้ผลเป็นผลที่ไม่ดี และเป็นไปไม่ได้ที่เหตุไม่ดี จะให้ผลที่ดี เพราะเหตุย่อมสมควรแก่ผล

จิต มีหลายประเภท เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว เมื่อจิตเกิดขึ้น ต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใด ใน ๔ ชาติ คือ ชาติกุศล (จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล) ชาติอกุศล (จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล) ชาติวิบาก (จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก) และ ชาติกิริยา (จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา เพียงแต่กระทำกิจหน้าที่แล้วดับไป ไม่เป็นเหตุให้เกิดผล)

กุศลจิต เป็นจิตที่ดีงาม ส่วนอกุศลจิต เป็นจิตที่ไม่ดี ทั้งสองประเภทนี้ เป็นเหตุซึ่งก็ควรจะได้พิจารณาถึงจิตอีกประเภทหนึ่ง คือ จิตที่เป็นผล อันได้แก่ วิบากจิต (รวมถึงเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) เพราะว่าเมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้น เมื่อมีกุศลจิต ก็ต้องเป็นเหตุให้เกิดผลของกุศล และ เมื่อมีอกุศลจิต ที่ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ก็ต้องเป็นเหตุให้เกิดผลของอกุศล ซึ่งก็ต้องเป็นจิต แต่เป็นจิตประเภทวิบาก เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าได้ศึกษาและมีความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของจิตแต่ละขณะ เราจะเข้าใจสภาพที่เป็นเหตุ สภาพที่เป็นผล และเราสามารถรู้ว่า ผลดีที่คนหนึ่งๆ ได้รับ ต้องมาจากกรรมดีที่เขาได้ทำแล้ว และผลที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือกับใคร ไม่ใช่คนอื่นทำให้ แต่ เป็นเพราะอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วถึงคราวให้ผล นั่นเอง สภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 3 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ