ความสุขมีจริงหรือไม่

 
miran
วันที่  21 ก.ย. 2554
หมายเลข  19770
อ่าน  2,533

ทำไมวชิราสูตรท่านจึงกล่าวว่า

ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ข้อความในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ซึ่งในความเป็นจริง สภาพ

ธรรมที่เป็นขันธ์ 5 หรือ สภาพธรรมที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนเกิดขึ้นและดับไป

สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไปจึงเป็นทุกข์ ดังนั้นขณะนี้มีสภาพธรรม ที่เป็น

ขันธ์ 5 เช่น มีนามธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เช่น กำลังเห็น เห็นเป็นจิต และ มีเจตสิกอื่นๆ

ประกอบด้วย และมีสิ่งที่ถูกเห็น คือ สีที่เป็นรูป ทั้ง จิตเห็นก็เป็นวิญญาณขันธ์ ก็ต้อง

เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องตั้งอยู่และทนอยู่ไมได้ก็ดับไป ดังนั้น จิตเห็นไม่เที่ยง จึงเป็น

ทุกข์ครับ เพราะควาไมม่เที่ยงครับ เจตสิกทีเกิดร่วมด้วยก็ต้องเกิดขึ้นและดับไป ทนอยู่

ไมได้ ก็เป็นทุกข์อีกเช่นกัน เจตสิกประการต่างๆ จึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ด้วย

เพราะเกิดขึ้นและดับไป รูป คือ สีก็ต้องเกิดขึ้นและดับไป รูปขันธ์ จึงเป็นสภาพธรรมที่

เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยงครับ สิ่งใดที่เป็นสุขจริง สิ่งนั้นต้องเที่ยง จีรังยั่งยืน แต่ในความ

เป็นจริงสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ครับ

และคำถามที่ว่า สุขมีจริงหรือไม่ ความสุขที่เป็น สุขเวทนาและโสมนัสเวทนา ที่เป็น

ความรู้สึกสุขทางกายและใจมีจริงครับ แต่สภาพธรรมเหล่านั้นก็ไม่เที่ยง เมื่อเป็นสิ่งที่

ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ด้วย เพราะความแปรปรวนไปของความสุขนั้นที่เรียกว่า วิปริณาม

ทุกข์ (ทุกข์เพราะเปลี่ยนแปลง)

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 48 ถามว่า เวทนา พระโยคาวจรจะพึงตามเห็นอย่างไร? ตอบว่า สุขเวทนาก่อน พึงตามเห็นโดยความเป็นทุกข์ ทุกขเวทนาพึงตามเห็น

โดยความเป็นดังลูกศร อทุกขมสุขเวทนา พึงตามเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง

เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ภิกษุใด เห็นสุขโดยความเป็นทุกข์

เห็นทุกข์โดยความเป็นดังลูกศร เห็นอทุกข-

มสุข อันสงบแล้ว โดยความเป็นสภาพไม่

เที่ยง ภิกษุนั้นแล เป็นผู้เห็นชอบ จักเป็น

ผู้สงบ เที่ยวไป ดังนี้.

อนึ่ง เวทนาเหล่านั้นทั้งหมดเทียว พึงตามเห็นว่า เป็นทุกข์เท่านั้นก็ได้ ข้อ

นี้สมกับคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเวทนาทั้งหมดนั้นเรา

กล่าวว่า เป็นทุกข์ ดังนี้. สุขเวทนา พึงตามเห็นโดยความเป็นทุกข์ก็ได้ เหมือนคำ

ที่ตรัสว่า สุขเวทนายังตั้งอยู่ก็เป็นสุข เมื่อแปรไปก็เป็นทุกข์ ดังนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2554

ดังนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นทีเกิดขึ้น คือ ความจริงที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่

เป็น จิตเห็นบ้าง เจตสิก หรือ รูปเท่านั้นที่เกิดขึ้น และไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ ทุกข์เท่านั้น

ย่อมตั้งอยู่ คือ เมื่อสภาพธรรมนั้เนกิดขึ้นแล้วยังไมได้ดับก็ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นย่อม

ดับไป คือ สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นและดับไป

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นขันธ์ 5 แล็วก็ไม่มีอะไร

เกิด พระนิพพาน ไม่เกิด ดับ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดดับ เป็นทุกข์ แปรปรวนไปในขณะ

นี้ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นทุกข์เท่านั้นที่กำลังเกิดครับ

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ นอกจากสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นทุกข์เพราะ

เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นที่ดับไป ไม่มีอย่างอื่นอีกครับที่ดับไป

เพราะฉะนั้นความจริงคือ สุขมีแต่ไม่ใช่สุขจริง เพราะสุขโสมนัสก็แปรปรวนไปนั่นเอง

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเห็น นามรูป หรือ สภาพธรรมที่มีจริงว่าเป็นสุข แต่พระอริยเจ้า

เห็นว่าเป็นทุกข์ ปุถุชนย่อมเห็นว่า พระนิพพานที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นทุกข์ แต่พระอริยเจ้า

ย่อมเห็นการไม่เกิดไม่ดับว่าเป็นสุข

ดังนั้นที่ท่านพระวชิราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ ท่านเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา

ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เพราะท่านประจักษ์ความจริง ของความไม่

เที่ยงของสภาพธรรมทั้งปวง จึงรู้ว่าเป็นทุกข์คือสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 นั่นเองครับ

สุขโสมนัสมีอยู่แต่ก็เป็นทุกข์เพราะเกิดขึ้นและดับไป ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา นั้น แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำัลังปรากฏตามความเป็นจริง พระอริยสาวกผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็มีการกล่าวตามความเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง เพราะธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ไ่ม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่นไป และไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ได้เลย เมื่อกล่วถึงทุกข์ แล้ว ไม่ได้มุ่งหมายถึงเพียงเฉพาะทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป ทั้งหมด ซึ่งได้แก่ ขันธ์ ๕ (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์) หรือที่จำแนกเป็นปรมัตถธรรม ๓ ได้แก่ จิต (วิญญาณขันธ์) เจตสิก (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์) รูป (รูปทั้งหมด ๒๘ รูป) เท่านั้น ที่เป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ทนอยู่ไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมเหล่านี้เท่านั้น ที่เกิดขึ้น สภาพธรรมเหล่านี้เท่านั้นที่ตั้งอยู่ (ชั่วขณะสั้นๆ ) สภาพธรรมเหล่านีั้เท่านั้นที่ดับไป ล้วนเป็นทุกข์ ทั้งนั้น จากประเด็นคำถามที่ว่า สุข มีไหม ตามความเป็นจริงแล้ว สุขในที่นี้ มุ่งหมายถึง สุขกาย (สุขเวทนา ที่เกิดร่วมกับกายวิญญาณกุศลวิบาก) และ สุขใจ (โสมนัสเวทนา) ซึ่งเมื่อเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะทนอยู่ไม่ได้ เมื่อเกิดแล้วต้องดับไป ก็จะทำให้เข้าใจว่า แม้สุข-เวทนา กับ โสมนัสเวทนา ที่เรียกว่า เป็นสุขนั้น ก็ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ด้วย ดังนั้น สุข มีจริง เป็นธรรมประเภทหนึ่ง คือ เวทนาเจตสิก แต่สุขก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป จึงเป็นทุกข์ เพราะเกิดดับ แต่ถ้าเป็นความสุขอย่างยิ่งแล้ว เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ได้แก่ พระนิพพานซึ่งก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอีกประการหนึ่ง แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรมที่ปราศจากปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ ดับกิเลส เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสังสารวัฏฏ์อย่างสิ้นเชิง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก จากที่ไม่รู้มาก่อน ก็จะค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น เพราะสิ่งที่จะรู้ จะเข้าใจนั้น มีจริงในขณะนี้ มีจริงทุกๆ ขณะของชีิวิต ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
miran
วันที่ 21 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 21 ก.ย. 2554

ถ้ารู้ความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ความทุกข์ต่างๆ และกิเลสก็จะลดลงไปด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 21 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 22 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
miran
วันที่ 22 ก.ย. 2554

เรียนท่านอาจารย์ ครับ ในความเห็นที่ ๑

ไม่ใช่ใน พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 48

แต่เป็นใน พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 48 ครับ พอดีผมเข้าไปดูแต่ไม่เห็นเลยไปดูอีกเล่มถึงเจอ

ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.ย. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 19770 ความคิดเห็นที่ 8 โดย miran

เรียนท่านอาจารย์ ครับ ในความเห็นที่ ๑

ไม่ใช่ใน พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 48

แต่เป็นใน พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 48 ครับ พอดีผมเข้าไปดูแต่ไม่เห็นเลยไปดูอีกเล่มถึงเจอ

ขออนุโมทนา

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ miran ด้วยครับ ได้ทำการแก้ไข เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
นันทภพ
วันที่ 24 ก.ย. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 19770 ความคิดเห็นที่ 1 โดย paderm

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ข้อความในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ซึ่งในความเป็นจริง สภาพ

ธรรมที่เป็นขันธ์ 5 หรือ สภาพธรรมที่มีจริงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนเกิดขึ้นและดับไป

สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไปจึงเป็นทุกข์ ดังนั้นขณะนี้มีสภาพธรรม ที่เป็น

ขันธ์ 5 เช่น มีนามธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เช่น กำลังเห็น เห็นเป็นจิต และ มีเจตสิกอื่นๆ

ประกอบด้วย และมีสิ่งที่ถูกเห็น คือ สีที่เป็นรูป ทั้ง จิตเห็นก็เป็นวิญญาณขันธ์ ก็ต้อง

เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องตั้งอยู่และทนอยู่ไมได้ก็ดับไป ดังนั้น จิตเห็นไม่เที่ยง จึงเป็น

ทุกข์ครับ เพราะควาไมม่เที่ยงครับ เจตสิกทีเกิดร่วมด้วยก็ต้องเกิดขึ้นและดับไป ทนอยู่

ไมได้ ก็เป็นทุกข์อีกเช่นกัน เจตสิกประการต่างๆ จึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ด้วย

เพราะเกิดขึ้นและดับไป รูป คือ สีก็ต้องเกิดขึ้นและดับไป รูปขันธ์ จึงเป็นสภาพธรรมที่

เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยงครับ สิ่งใดที่เป็นสุขจริง สิ่งนั้นต้องเที่ยง จีรังยั่งยืน แต่ในความ

เป็นจริงสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ครับ

และคำถามที่ว่า สุขมีจริงหรือไม่ ความสุขที่เป็น สุขเวทนาและโสมนัสเวทนา ที่เป็น

ความรู้สึกสุขทางกายและใจมีจริงครับ แต่สภาพธรรมเหล่านั้นก็ไม่เที่ยง เมื่อเป็นสิ่งที่

ไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ด้วย เพราะความแปรปรวนไปของความสุขนั้นที่เรียกว่า วิปริณาม

ทุกข์ (ทุกข์เพราะเปลี่ยนแปลง)

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 48 ถามว่า เวทนา พระโยคาวจรจะพึงตามเห็นอย่างไร? ตอบว่า สุขเวทนาก่อน พึงตามเห็นโดยความเป็นทุกข์ ทุกขเวทนาพึงตามเห็น

โดยความเป็นดังลูกศร อทุกขมสุขเวทนา พึงตามเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง

เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ภิกษุใด เห็นสุขโดยความเป็นทุกข์

เห็นทุกข์โดยความเป็นดังลูกศร เห็นอทุกข-

มสุข อันสงบแล้ว โดยความเป็นสภาพไม่

เที่ยง ภิกษุนั้นแล เป็นผู้เห็นชอบ จักเป็น

ผู้สงบ เที่ยวไป ดังนี้.

อนึ่ง เวทนาเหล่านั้นทั้งหมดเทียว พึงตามเห็นว่า เป็นทุกข์เท่านั้นก็ได้ ข้อ

นี้สมกับคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเวทนาทั้งหมดนั้นเรา

กล่าวว่า เป็นทุกข์ ดังนี้. สุขเวทนา พึงตามเห็นโดยความเป็นทุกข์ก็ได้ เหมือนคำ

ที่ตรัสว่า สุขเวทนายังตั้งอยู่ก็เป็นสุข เมื่อแปรไปก็เป็นทุกข์ ดังนี้

ขอ อนุโมทนา ครับ

ขอ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ทั่วจักรวาล เป็นสุขๆ เถิด อย่ามี ทกข์กายทุกข์ใจเลย

สวัสดี ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
นันทภพ
วันที่ 24 ก.ย. 2554
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 19770 ความคิดเห็นที่ 2 โดย paderm

ดังนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นทีเกิดขึ้น คือ ความจริงที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่

เป็น จิตเห็นบ้าง เจตสิก หรือ รูปเท่านั้นที่เกิดขึ้น และไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ ทุกข์เท่านั้น

ย่อมตั้งอยู่ คือ เมื่อสภาพธรรมนั้เนกิดขึ้นแล้วยังไมได้ดับก็ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นย่อม

ดับไป คือ สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นและดับไป

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นขันธ์ 5 แล็วก็ไม่มีอะไร

เกิด พระนิพพาน ไม่เกิด ดับ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดดับ เป็นทุกข์ แปรปรวนไปในขณะ

นี้ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นทุกข์เท่านั้นที่กำลังเกิดครับ

นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ นอกจากสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นขันธ์ 5 ที่เป็นทุกข์เพราะ

เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นที่ดับไป ไม่มีอย่างอื่นอีกครับที่ดับไป

เพราะฉะนั้นความจริงคือ สุขมีแต่ไม่ใช่สุขจริง เพราะสุขโสมนัสก็แปรปรวนไปนั่นเอง

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเห็น นามรูป หรือ สภาพธรรมที่มีจริงว่าเป็นสุข แต่พระอริยเจ้า

เห็นว่าเป็นทุกข์ ปุถุชนย่อมเห็นว่า พระนิพพานที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นทุกข์ แต่พระอริยเจ้า

ย่อมเห็นการไม่เกิดไม่ดับว่าเป็นสุข

ดังนั้นที่ท่านพระวชิราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์ ท่านเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา

ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เพราะท่านประจักษ์ความจริง ของความไม่

เที่ยงของสภาพธรรมทั้งปวง จึงรู้ว่าเป็นทุกข์คือสภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5 นั่นเองครับ

สุขโสมนัสมีอยู่แต่ก็เป็นทุกข์เพราะเกิดขึ้นและดับไป ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

ขอ อนุโมทนา ครับ

นิพพานัง ปรมัง สุขขัง พระนิพพาน เป็น บรมสุข

ปุถุชน ย่อมเห็นว่า พระนิพพานที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นทุกข์ (ปุถุชน ไม่เห็น พระนิพพาน)

แต่ พระอริยเจ้า ย่อมเห็นว่า การไม่เกิดไม่ดับ เป็นสุข

ขอ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ทั่วจักรวาล เป็นสุขๆ เถิด อย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สวัสดี ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ