ทุกข์เพราะรัก

 
wiwi
วันที่  7 ก.ย. 2554
หมายเลข  19663
อ่าน  19,297

ช่วยให้แง่คิด ในการทำใจ คนที่ทุกข์เพราะรัก ไม่สมหวังในรักด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 7 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้องความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือ ความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย

โลภะ (หรือตัณหา) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์, ขณะที่กุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง แต่โดยนัยตรงกันข้ามเมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง

บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลทุกๆ ประการ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุกๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง บุคคลประเภทนี้ เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป เพราะคนอื่นหรือทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่่งที่แท้จริงในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จะติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความดี และปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ. ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ ความโศกและภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก ความรัก ความยินดี กาม และตัณหา ความรัก... ความรักและความเมตตา ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 7 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ทุกข์มีจริงเกิดขึ้นแล้วเพราะมีเหตุให้เกิดขึ้น เพราะมีรักจึงมีทุกข์ เพราะสิ่งที่รักนั้น

แปรปรวนไป ไม่เป็นไปตามความต้องการ ก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา ดังที่นางวิสาขา

หลานของท่านตาย แม้ท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านก็ยังทุกข์ใจมากมาย เพราะ

ท่านรักหลานของท่าน เมื่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธจึงตรัสถามว่า ทำไมเธอ

ถึงเศร้าโศก นางวิสาขาจึงกราบทูลว่า หลานสาวข้าพระองค์สิ้นชีวิต พระพุทธเจ้าจึง

ตรัสคาถาว่า มีรักหนึ่ง ก็มีทุกข์หนึ่ง มีรักสอง ก็มีทุกข์สอง มีรัก ร้อยหนึ่ง ก็ทุกข์ร้อยหนึ่ง

ผู้ที่ไม่มีรักจึงไม่มีทุกข์ นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมดาของความทุกข์ที่จะต้องเกิด

ขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ในความเป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วย

กิเลสและเต็มไปด้วย ความติดข้องทีเป็นโลภะ อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และเพราะ

มีอวิชชา ความไม่รู้จึงต้องมีการเกิดและต้องทุกข์กายและใจเป็นธรรมดา ดังนั้น จึงไม่

ใช่การบอกวิธีให้ทำใจหายจากทุกข์ได้ทันที แต่ต้องเข้าใจความจริงที่เกิดแล้วว่าทุกข์มี

จริง ขณะที่คิดถึงคนนั้น แฟน หรือ บุคคลที่ยึดถือ เป็นแต่เรื่องที่คิด และทุกอย่างก็ผ่าน

ไปหมดแล้ว หากจะพูดถึงทางโลกก็จะกล่าวว่า คนที่ไม่รักเรา ควรหรือที่จะเศร้าโศกถึง

เพราะทำอย่างไร จะร้องไห้สักเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาก็ไม่ได้สงสาร ไม่ได้

รักเรา และทุกอย่างก็ผ่านไปหมด อันนี้ แนะนำอย่างที่แนะนำทั่วไป แต่การคลายโศก

ด้วยวิธีนี้ก็เป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นเราๆ เขาๆ ไม่ไ่ด้เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม แต่

ประโยชน์ที่จะคลายโศก ทุกข์ใจจริงๆ คือ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ เหตุคือ กิเลสประการ

ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ ที่ทำให้เกิดความรัก มีโลภะ เป็นต้น เป็นเหตุให้ทุกข์ใจ การแก้ที่ต้น

เหตุ คือ อบรมธรรมฝ่ายคตรงกันข้ามที่จะลกิเลส คือ ละโลภะได้ด้วยการเจริญปัญญา

ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมว่า กิเลสมีมากและสะสมมาเนิ่นนาน จะ

ให้หายทุกข์ใจ ทำใจได้ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะปัญญามีน้อยมาก ต้องค่อยๆ

สะสมไป แต่การเริ่มจากเหตุที่ถูก ในการจะละความทุกข์ได้จริง ดีกว่า ประเสริฐกว่าการ

จะทำให้ทุกข์หายไปทันทีด้วยเพียงการปลอบใจอย่างชาวโลกครับ เพราะเดี๋ยวก็ต้อง

ทุกข์อีกแน่นอนครับ แต่ผู้ที่เริ่มสะสมเหตุที่ถูกคือการอบรมปัญญา แม้จะทุกข์บ้างเป็น

ธรรมดาของปุถุชน แต่ก็ค่อยๆ ละทุกข์ได้ทีละน้อยด้วยปัญญาและในที่สุดวันหนึ่งก็ละ

ทุกข์ได้จริงๆ ครับ ดังนั้นในพระพุทธศาสนา จึงทำใจไม่ได้ เพราะบังคับให้เป็นไปตาม

ต้องการไมได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ครับ

เรียนเชิญทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 359

[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิด-

เพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมี

ทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน

ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 7 ก.ย. 2554

หาเหตุของความทุกข์ให้เจอ แล้วแก้ที่เหตุค่ะ

อย่าลืมว่า....เวลามาสู่โลกนี้ เรามาคนเดียว

เวลาจากโลกนี้ไป เราก็ไปคนเดียว

มีแต่บุญ -บาป เท่านั้นติดตามไปด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
SOAMUSA
วันที่ 7 ก.ย. 2554

ขออนุญาตคุยด้วยค่ะ

ความรักนั้นมันไม่เคยสุขจริงๆ หรอกนะค่ะ พิจารณาดูดีๆ ยิ่งรักมากยิ่งทุกข์มาก

มันหวาดระแวงกลัวใครมาแย่ง กลัวเค้าเบื่อ ไม่อยากให้เค้าห่างไปไหนนาน

เค้าไปมองใครเราก็หึงแล้ว ไปพูดคุยกับใครนานก็หงุดหงิดแล้ว มันมีแต่ของเรา

ทั้งนั้น มันเหนื่อย มันเศร้า มันไม่ได้ดังใจปราถนา ทุกข์จริงๆ นะค่ะ

เหมือนแบกภาระไว้มากมาย อยู่ไกลก็หวาดระแวง กลัวเค้านอกใจ อยู่ใกล้ก็

อยากให้เค้าเอาใจ เค้าไม่เอาใจก็โมโห ใจเราแบกภาระไว้เยอะจริงๆ นะค่ะ

พอดิฉันปลดปล่อยอารมณ์เหล่านี้ออกไปได้ ดิฉันโล่งเบาสบาย ไม่ใส่ใจ

เค้าจะทำอะไรที่ไหน มันเรื่องของเค้า ดิฉันแบกเค้าไว้อยู่ตั้งนาน ถ้ารู้ว่าทิ้งมันดียังงี้

เลิกแบกไปนานแล้ว ดิฉันทุ่มทิ้งไปนานแล้ว จะได้พบความเบาสบายปลอดโปร่งเร็วขึ้น

จะเห็นว่า มีแต่ของเราทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย คุณwiwiต้องเข้มแข็ง

หัดเลียนแบบนิสัยผู้ชาย ทำใจให้เด็ดเดี่ยว ไม่ตายหรอก ดีซะอีก เราไม่ต้องมีใคร

มาผูกพัน มาทำให้เราคอยกังวลสารพัด ทั้งอารมณ์เร่าร้อนหึงหวง เราจะได้ไม่ต้องมี

อกุศลมาทำให้เราเศร้าหมอง ทำให้เรามีโลภะ โทสะ โมหะ ครบหมด

ถ้ายังรักยังผูกพันกันอยู่ อารมณ์หึงหวง น้อยใจ อกุศลทั้งนั้น ถ้ายังมีเค้าอยู่ เราก็

ต้องได้รับความเศร้าหมองต่อไปอีก เจ็บแค่วันนี้เท่านี้พอ ฮึดขึ้นมาใจเด็ดเดี่ยว

ทำใจเข้มแข็ง ตัดใจซะไวๆ ฮึดขึ้นมา เข้าใจว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา วันหนึ่งเราก็ต้อง

ทิ้งทุกอย่าง แม้แต่ร่างกายของเรา ไม่จากกันวันนี้ วันหนึ่งก็ต้องจากอยู่ดี วันหนึ่งจะช้า

จะเร็วก็ต้องเสียใจอยู่ดี ยังไงมันก็ต้องจาก มันจะต่างอะไรกับการที่เค้าจากไปวันนี้

วันเวลาผ่านไปจะช่วยให้บรรเทาลงได้ และเมื่อเราหันมามองย้อนดูก็อาจจะเห็นเป็นเพียง

เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเราก็ได้ เพราะเรื่องที่ใหญ่กว่านี้คือ เราศึกษาธรรมะ

เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ลองเข้ามาศึกษาดูซิค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 8 ก.ย. 2554

ความรักที่เกิดจากความติดข้องนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นไปเพราะรักตัวเอง อยากได้ในสิ่งที่หวัง ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อไม่ได้ตามนั้นก็ไม่พอใจ ทุกข์ใจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอกุศล ซึ่งจะนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี ตรงตามเหตุอยู่แล้ว

แต่ความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ยินดีเมื่อผู้อื่นเป็นสุข ห่วงใยในทุกข์ สุขของผู้อื่น โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งที่เป็นกุศล ควรเจริญ เพราะกุศลไม่ทำร้ายใคร เมื่อใดที่กุศลเกิด เมื่อนั้นก็ดีต่อทุกฝ่าย

ความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้นๆ จะช่วยให้ละคลายความติดข้อง ความยึดถือในความเป็นตัวตน เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครเลย มีแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่มี "เหตุ" สะสมมาแล้วจึงมีผลเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้นเอง...

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ 
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Graabphra
วันที่ 8 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 8 ก.ย. 2554

ไม่ว่าจะรักอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นค่ะ ไม่มียกเว้น มีทางเดียวจะเห็นจริงอย่างนี้ได้ คือ

หมั่นฟังธรรม ศึกษาธรรมให้เข้าใจอย่างแท้จริง ก็จะค่อยๆ ละความติดข้องต้องการใน

ความรักไปได้เอง สังเกตุใจดู จะรู้สึกว่าความยึดติดที่เคยแน่นหนาเอามากๆ จะผ่อน

คลายลง

และถึงแม้จะรู้สึกเหมือนว่ายังรักอยู่หรือยังไม่อยากปล่อย แต่ความเข้าใจธรรมะที่เพิ่ม

ขึ้นจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เป็นความเมตตาได้เอง เบาสบาย เป็นกุศลจิตที่เกิดจาก

เหตุที่ดี คือการฟังธรรมค่ะ

มี่สำคัญคือต้องมีความเพียร มีขันติในการฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่เร่งรัด ไม่คาด

หวัง แล้วทุกๆ อย่างจะดีขึ้นเองตามเหตุปัจจัยค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
bauloy
วันที่ 8 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เห็นด้วยครับกับทุกความคิดเห็น ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหากันในเรื่อง "ความรัก" แม้แต่

กระผมเองก็เคยบ้าบอมาแล้ว หลังจากเริ่มศึกษาจนได้มีความเข้าใจมากขึ้นว่า ความรัก

คืออะไร ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นตามสภาพตามความเป็นจริง ในสังคมสมัยนี้ควรให้ความ

รู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับคำว่า รัก ไม่ใช่เอะอะอะไรก็รัก ทั้งทั้งที่ความ

เป็นจริงมันเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสพระคาถากับนางวิสาขาตอนหนึ่งเกี่ยวกับ

เรื่องความรักว่า มีรักหนึ่ง ก็มีทุกข์หนึ่ง มีรักสอง ก็มีทุกข์สอง มีรักร้อยหนึ่ง ก็ทุกข์ร้อย

หนึ่ง ผู้ที่ไม่มีรักจึงไม่มีทุกข์ นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมดาของความทุกข์ที่จะต้อง

เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย......ดังนั้นเราท่านทั้งหลาย

ควรศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจริงๆ รัก ก็เป็นเพียงสภาวะธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wiwi
วันที่ 8 ก.ย. 2554
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Graabphra
วันที่ 8 ก.ย. 2554

มีความรักในกัลยาณมิตร รักในการฟังพระธรรม รักในการเจริญกุศล รักในการ

เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาๆ ลๆ รักในการให้อภัย รักในการให้ทาน รักใน

การเจริญมรรค 8 รักในการละกิเลสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครับ...

ผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 9 ก.ย. 2554

เมื่อมีความหวัง (หวังว่ารักแล้วได้ความรักตอบ) ย่อมมีความผิดหวังเป็นธรรมดาถ้าไม่หวังก็ไม่ผิดหวัง..ถ้าความรักคือเมตตาจะไม่หวังสิ่งตอบแทนมีแต่ให้...

เป็นมิตรและเพื่อน....

ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Supha
วันที่ 19 มิ.ย. 2559

ฟังความเห็นของผู้รู้ รู้สึกเบาใจขึ้น แม้จะยังตัดไปไม่ได้สักทีเดียว

ขอขอบพระคุณในทุกๆ กำลังใจ คำแนะนำที่ดีมากนะคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ