สนับสนุนให้พระ หรือภิกษุ ทำเดรัจฉานวิชา จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ

 
chaiyakit
วันที่  3 ก.ย. 2554
หมายเลข  19641
อ่าน  2,129

สนับสนุนให้พระ หรือภิกษุ ทำเดรัจฉานวิชา จะเป็นบาปหรือผิดหรือเปล่าครับ เพราะตัวเองก็รู้ว่า พระทำไม่ได้ แต่..ต้องพาแม่ ไปรดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม หรือต่อชะตา เพราะแม่ จะเชื่อเรื่องนี้มากๆ ครับ เลยไม่อยากขัดใจ..อีกอย่าง ที่จะถามก็คือ..มันเป็นการสนับสนุนให้พระทำผิดหรือเปล่าครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คำว่าบาป หรือ อกุศล มีหลายระดับครับ คือ บาปที่เป็นเพียงอกุศลจิต กับบาปที่ล่วงกรรมบถเป็นเหตุให้ตกนรกครับ ดังนั้น การชักนำ ให้ผู้อื่นไปในสิ่งที่ผิด ก็เป็นอกุศลจิต และทำออกมาทางกาย วาจา แต่ยังไม่ถึงกับเป็นอกุศลกรรมบถที่ทำให้ตกนรกครับ

ดังนั้นจึงเป็นบาประดับหนึ่งครับ ส่วนการเห็นด้วย สนับสนุน ขึ้นอยู่กับความคิดของเราว่าเราเห็นด้วยหรือไม่ในการทำอย่างนั้นครับ ที่สำคัญเราจะต้องมั่นคงและมีความเห็นถูกเมื่อได้ศึกษาธรรม ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่มีใครแก้กรรม สะเดาะเคราะห์ให้พ้นจากกรรมได้ เมื่อเรามีความเห็นถูกอย่างนี้แล้ว ตัวเราเองก็ต้องรักษาผู้อื่นด้วย ไม่ควรตามใจผู้อื่นและทำให้ผู้อื่นยิ่งมีความเชื่อในสิ่งนั้น เพราะเป็นโทษกับบุคคลนั้นเองครับ

หากเรารักคุณแม่จริง เราจะต้องมอบสิ่งที่ดีๆ ไม่มอบสิ่งไม่ดี เพียงแค่ความสบายใจชั่วครั้ง ชั่วคราว แต่ทำให้ท่านเข้าใจผิดมากขึ้นครับ และถ้ารักตัวเองด้วยแล้ว ก็ควรทำสิ่งที่ดีกับตน คือ มั่นคงในความเห็นถูกและปฏิเสธความเห็นผิดครับ แม้คุณแม่จะไม่ชอบ ขัดใจในการไม่มอบสิ่งที่ท่านเชื่อ แต่เราอธิบายได้ให้ท่านเข้าใจ และแม้ท่านไม่เชื่อ แต่ตัวเราเองก็ไม่ควรพาไปอีกครับ ความขัดใจเล็กน้อย เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด มากขึ้นไม่ดีเลย อันตรายกว่ามากครับ มีโทษมากกว่า ดังนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว แต่ควรเริ่มต้นใหม่ อย่าตามใจผู้อื่นเพียงแค่ความสบายใจของเขาชั่วคราว แต่เป็นโทษกับผู้นั้นภายหลังและตราบนานเท่านาน ในความเห็นผิดที่มั่นคงมากขึ้นนั่นเองครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระภิกษุที่ท่านมีพฤติกรรมอย่างนั้น เป็นผู้มีความประพฤติที่เสียหาย เป็นผู้มีการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด เป็นผู้ไม่ดำรงอยู่ศีลของพระภิกษุ เป็นผู้ทำลายพระศาสนาบิดเบือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้เสื่อมคุณความดีที่จะพึงมีพึงได้จากการเข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ เมื่อกระทำแต่สิ่งที่ไม่เหมาะอยู่เรื่อยๆ แล้วภพหน้าจะเป็นอย่างไร? โทษย่อมเกิดแก่ท่านเหล่านั้นโดยส่วนเดียว ทำให้เห็นถึงการสะมาของแต่ละบุคคล ว่า เป็นไปตามการสะสมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ถ้าหากว่าไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือ ศึกษาอย่างผิวเผินไม่ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง โอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติผิด นั้น ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

ควรที่จะได้พิจารณาว่า ความเห็นผิด การประพฤติปฏิบัติผิดนั้น ไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้เท่านั้น มีทุกยุคทุกสมัย ถ้าเราไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลย ไม่เข้าใจในเหตุในผลของธรรม ใครจะว่าอย่างไร แนะนำในทางที่ไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ย่อมจะคล้อยตามไปได้โดยง่าย, สิ่งสำคัญที่สุด คือ เริ่มจากตัวเราเองที่จะสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อตนเองมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะสามารถเกื้อกูลบุคคลรอบข้างได้ สามารถอธิบายให้ผู้อื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องได้ เมื่อเรารู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเข้าใกล้สิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งไม่ควรที่จะสนับสนุนให้ผู้อื่นเข้าใกล้ ด้วย เพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นไปเพื่อเพิ่มพูนกิเลส เพิ่มพูนความเป็นผู้หลงงมงายให้มีมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่เป็นสิ่งเดียวที่คนทุกยุคทุกสมัยจะพึ่งได้อย่างแท้จริง [เพราะอกุศล เป็นที่พึ่งไม่ได้] แล้วปัญญาจะมาจากไหนถ้าไม่เริ่มจากการฟัง การศึกษาพระธรรม ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 5 ก.ย. 2554

ขออนุญาตเรียนสอบถามครับว่า มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกที่เตือนสติในเรื่องทำนองนี้ไว้ด้วยหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 5 ก.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ในพระไตรปิฎกแสดงในเรื่อง ของกรรมเป็นสำคัญว่าสตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นต้นครับ ไม่เกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์ ส่วนในพระไตริปฎก แสดงถึงเรื่องที่พระภิกษุไม่ควรกระทำการเรียน ดำรงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา มีการดูฤกษ์ยาม เป็นต้นครับ และพระไตรปิฎกแสดงภิกษุในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรครับ เชิญอ่านครับ

[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้าที่ 202

พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า

ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำ

คำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถาม

ถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็น

คนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณเท่านี้ หัวดื้อ โอ้-

อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรม

ที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา

ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน ในกาลข้าง

หน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะ

ภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรง

แสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว

โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษา

เล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายใน

สังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่

เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมี

กำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะ

พากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคน

ใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษคนอื่น ไม่

ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การ

ทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียว

แดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล

เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไป

อยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 7 ก.ย. 2554
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chaiyakit
วันที่ 7 ก.ย. 2554

...........ขอกราบ ขอบพระคุณ อ. paderm กับความกระจ่างครับผม........

ต่อไปผมจะเตือนแม่ และ คนที่คิดจะทำอย่างนี้ ว่ามันไม่ดีครับ.._/I_

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
patiphat
วันที่ 16 ก.ย. 2554

อ้างความคิดเห็นที่ 4 ครับ

ปัจจุบันนี้เห็นเป็นตรงจริงตามนั้นไม่ผิดเพี้ยนครับ และจากกระทู้ครับ ต้องย้อนกลับไปดูจุลศีล มัชชิมศีล และมหาศีล ครับ จะทราบดีถึงความเป็นจริงตามพุทธบัญญัติครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ