แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป

 
เมตตา
วันที่  24 พ.ค. 2554
หมายเลข  18408
อ่าน  1,639

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 210

๑. ภัทเทกรัตตสูตร

[๕๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด


ขณะที่พูดว่า แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป พูดด้วยความเข้าใจพระธรรมหรือเปล่า ถ้า พูดด้วยความเข้าใจธรรม จิตขณะนั้นก็เป็นกุศล หรือพูดโดยไม่มีความเข้าใจ พูดด้วย การปลอบใจว่า แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป เมื่อมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น หรือประสพกับ สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา เช่น การสูญเสียคนที่รักไป เสื่ยมยศ เสื่อมลาภ เสื่ยมยศ เป็นต้น จิตขณะนั้นก็เป็นอกุศล ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เข้าใจธรรมย่อมเข้าใจความจริงว่าธรรม ทั้งหลายเกิดแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ไม่หวนกลับมาอีก คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เลย สภาพธรรมทั้งหลายก็ไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิกและรูป ที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป พูดด้วยจิตที่เป็นกุศล สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ควรหรือที่จะไปคร่ำ ครวญถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งหมดก็ผ่านไป

....ขออนุโมทนาค่ะ..


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Yongyod
วันที่ 25 พ.ค. 2554

ขออนุโมทนาคุณเมตตาที่ยกพระสูตรนี้ นี่เป็นพระสูตรที่ผมชอบสวดบ่อยๆ เวลาที่ได้สวดมนต์ไหว้พระ ซาบซึ้ง รู้สึกประทับใจกับสูตรนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยได้ยินจากการสวดมนต์แปล ตอนหลังยิ่งมาศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะมากขึ้น ทำให้เข้าใจพระพุทธองค์ที่เตือนเราให้เห็นความสำคัญของการที่จะรู้และเข้าใจในสิ่งที่เกิด ปรากฏในขณะนี้ ว่าเห็นเป็นธรรมะแล้วรึยัง ถ้ายังก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจต่อไป เหมือนที่ ท่านอาจาร์สุจินต์ก็เตือนเราอยู่บ่อยเลย ยิ่งฟังธรรมะจาก อ สุจินต์มากเข้า แล้วย้อนไปอ่านพระสูตรนี้ใหม่ ก็รู้สึกยิ่งซาบซึ้งถึงการตระหนักถึงปัจจุบันขณะเพราะ เป็นสิ่งที่จริงอย่างที่สุด ไม่มีอะไรที่จะจริงอย่างที่สุด ที่ทุกคนสัมผัสได้ เท่ากับสิ่งที่มีจริงอยู่ในขณะนี้ กราบเท้าท่าน อ สุจินต์ที่ย้ำเตือนให้ระลึก และขออนุโทนา ในกุศลจิตของ คุณเมตตาด้วยครับ

ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 25 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอำนาจกิเลสมีโลภะ เป็นต้น ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ด้วยอำนาจกิเลส สิ่งใดล่วงไปแล้วก็เป็นอันล่วงไปแล้ว

สิ่งใดก็คือสภาพธรรมที่มีจริงคือ จิต เจตสิกทีเ่กิดขึ้นและดับไปแล้ว จะไม่หวนกลับมาอีกเลย พึงเป็นผู้เห็นธรรมในปัจจุบัน ขณะนี้มีสภาพธรรมที่มีจริงกำลังปรากฎอยู่ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ขณะที่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ก็ไม่ไ่ด้รู้ความจริงที่ีมีในขณะนี้ ขณะที่คิด ถึงเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ลืมเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ดังนั้นพึงเป็นผู้เห็นธรรมในปัจจุบัน คือสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งขณะที่คิดถึง เรื่องราวในอดีตและอนาคต อะไรมีจริง อะไรมีในปัจจุบัน ก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิตที่ คิดนึก ดังนั้นรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎแม้จิตที่กำลังคิดนึก การอยู่กับปัจจุบันด้วย ปัญญา ย่อมทำให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 25 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่า มีแล้ว ไม่มี" สภาพธรรมเกิดแล้ว มีแล้วในขณะนี้ จากที่ไม่มี แล้วเกิดมีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ สิ่งที่เกิดแล้วดับไป จะไม่กลับมาอีกเลยในสังสาัรวัฏฏ์ ผ่านไปทุกขณะ สภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจซึ่งมีให้ศึกษาอยู่ทุกขณะจริงๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหลายเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้ที่รู้แจ้ง บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสทั้งหลายได้ สำคัญอยู่ที่ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 25 พ.ค. 2554

พึงเป็นผู้เห็นธรรมในปัจจุบัน ขณะนี้มีสภาพธรรมที่มีจริงกำลังปรากฎอยู่ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ขณะที่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ก็ไม่ไ่ด้รู้ความจริงที่ีมีในขณะนี้ ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณpaderm ค่ะ

สภาพธรรมเกิดแล้ว มีแล้วในขณะนี้ จากที่ไม่มี แล้วเกิดมีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ สิ่งที่เกิดแล้วดับไป จะไม่กลับมาอีกเลยในสังสาัรวัฏฏ์ผ่านไปทุกขณะ

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Komsan
วันที่ 26 พ.ค. 2554

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สัมภเวสี
วันที่ 26 พ.ค. 2554

ข้อความตอนหนึ่งที่น่าสนใจมากครับจากในอัฏฐสาลินีอัฏฐกถา ซึ่งสามารถสอบทานได้ในพระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ 76 หน้า 579 ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย มีข้อความดังนี้ครับ

ส่วนปัจจุบันที่กำหนดด้วยภพหนึ่ง ชื่อว่า อัทธาปัจจุบัน ในภัตเทกรัตตสูตร ท่านพระมหากัจจายนเถระหมายเอาอัทธาปัจจุบันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า โย จาวุโส มโน เย จ ธมฺมา สมฺปยุตฺตา อุภยํ เมตํ ปจุจุปฺปนฺนํ ตสฺมิํ ปจฺจุปฺปนฺเน ฯลฯ ธมฺเมสุ สํ หิรติ (ดู ก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าบุคคลมีความรู้สึก มีวิญญาณ) เนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมที่สัมปยุตกันทั้ง ๒ อย่าง ที่เป็นปัจจุบันนั้น เพราะความ รู้สึกเนี่องด้วยฉันทราคะ บุคคลจึงเพลิดเพลินมโนและธรรมนั้น เมื่อเพลิด เพลินจึงชื่อว่า ง่อนแง่นในธรรมที่เป็นปัจจุบัน ดังนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tegg2008
วันที่ 26 พ.ค. 2554

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
raynu.p
วันที่ 28 พ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tegg2008
วันที่ 21 มิ.ย. 2554
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนากับคุณพี่เมตตาและทุกๆ คนครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 11 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ