ความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด

 
pirmsombat
วันที่  19 พ.ค. 2554
หมายเลข  18381
อ่าน  2,321

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 288

ความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด

ความโลภยังจิตให้กำเริบ

ภัยเกิดแต่ภายใน ชนย่อมไม่รู้สึกถึงภัยนั้น

คนโลภย่อมไม่รู้อรรถ

คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม

ความมืดตื้อย่อมมีในกาลที่ความโลภครองงำคน.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 พ.ค. 2554

อนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด

ความโลภหรือโลภะเป็นสภาพธรรมทีมีจริง แต่เป็นสภพาธรรมที่ไม่ดี มีลักษณะ

ติดข้อง ต้องการ โลภะเมื่อเกิดขึ้นก็ยังความพินาศให้เกิดขึ้น เกิดขึ้นกับใครเกิดขึ้นกับ

จิตที่เกิดทำให้จิตเศร้าหมอง เป็นมลทินเพราะเป็นสภาพธรรมที่เป็นกิเลส เมื่อจิตไม่ดี

ด้วยโลภะ และเมื่อมีกำลังก็ทำให้แสดงออกมาทางกายและวาจาด้วยทุจริตก็ย่อมทำให้

พินาศด้วยผลของกรรมทีเ่กิดขึ้นจากการกระทำที่ไม่ดีด้วยโลภะ อันทำให้ต้องกิดใน

อบายภูมิ เป็นต้นและที่สำคัญทำให้ต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์และได้รับทุกข์ไม่มีที่สิ้น

สุดเพราะความเป็นผู้มีโลภะนั่นองครับ ซึ่งทำร้ายจิตที่เกิด ดังที่พระองค์ตรัสว่า ขุยไผ่

เกิดขึ้นก็ย่อมทำร้าย ทำลายต้นไผ่เองฉันใด อกุศลคือโลภะ โทสะและโมหะเมื่อเกิดขึ้น

ก็ทำลายจิตและบุคคลนั้นเช่นกันครับ

ความโลภยังจิตให้กำเริบ

ความโลภยังจิตให้กำเริบ กำเริบด้วยอกุศลที่จรมา คือโลภะ ขณะที่เห็นยังไม่เป็น

อกุศลแต่เมื่อเห็นแล้ว เป็นอกุศลเป็นโลภะ จิตกำเริบแล้ว กำเริบด้วยอกุศลจิตที่เกิดขึ้น

เพราะความติดข้อง ต้องการ อันเป็นจิตที่เสียครับ เพราะเมื่อก่อนจิตไม่กำเริบเมื่อเพียง

เห็น แต่เพราะสะสมอกุศลไว้ย้่อมทำให้จิตกำเริบได้เมื่อเป็นอกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 พ.ค. 2554

ภัยเกิดแต่ภายใน ชนย่อมไม่รู้สึกถึงภัยนั้น

ภัยหรือสิ่งที่น่ากลัวทีสุด ไม่เกิดจากภายนอก แต่เกิดจากภายในคืออกุศลธรรมที่

เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นภัยภายใน นำมาซึ่งสิ่งไม่ดี ทั้งจิตขณะนั้นก็

ไม่ดีและเมื่อมีการทำอกุศลกรรมก็ย่อมทำให้เกิดขึ้นสิ่งที่ไม่ดี เพราะอาศัยภัยภายใน

เพราะฉะนั้นเมือ่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีจากใครจะโทษใครไม่ไ่ด้เลย เพราะเหตุเกิดจากภัย

ภายในของตนเองทั้งนั้นคือเพราะมีอกุศล มีโลภะ โทส ะ โมหะอันอกุศลภายในเกิดที่

จิตจึงทำอกุศลกรรม ทำบาป และต้องได้รับผลจากการกระทำทีเ่กิดจากอกุศลภายใน

อันเป็นสิ่งที่น่ากลัวคือกุศลทีเ่กิดขึ้นครับ เพราะฉะนั้น ศัตรูที่แท้จริงจึงไม่ใช่จากภาย

นอกแต่เกิดจากภายในคือกุศลของผู้นั้นเองที่เกิดภายในจิต สมดังที่พระพุทธเจ้า

ตรัสไว้ว่า ศัตรูภายใน ภัยภายใน เพชรฆาตภายในก็คือ โลภะ โทสะและโมหะ นั่นเอง

ผู้ไม่มีปัญาย่อมไม่เห็นภัยหรือโทษของอกุศลนั้น เพราะเป็นผู้มีปกติๆ ไม่เห็นภัย

ของอกุศลเพราะไม่มีปัญญาที่ได้สะสมมานั่นเอง แต่กลับเห็นภัยภายนอกที่ได้รับ

ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ทรัพย์สิน จะมีหรือไม่อย่างไร หรือภัยจากบุคคลต่างๆ ซึ่งหาก

ไม่มีภัยภายในแล้วจะมีภัยเหล่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องดับที่เหตุคือ ภัยภายในมี

อกุศลธรรมมีโลภะ โทสะและโมหะ เป็นต้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 19 พ.ค. 2554

คนโลภย่อมไม่รู้อรรถ

คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม

ความมืดตื้อย่อมมีในกาลที่ความโลภครองงำคน.

ไม่มีคนที่โลภแต่มีจิตที่เป็นอกุศลที่เป็นโลภะ ขณะที่ติดข้อง ย่อมไม่รู้เหตุ (ธรรม) และ

ผล (อรรถ) ตามความเป็นจริงเลย เพราะขณะที่เป็นโลภะ ขณะนั้นมีความไม่รู้ที่เป็นโมหะ

เจตสิกเกิดร่วมด้วยทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่รู้เป็นเพียงธรรม เป็นต้น ความมืดตื้อ

ย่อมเกิดขึ้นขณะที่อกุศลเกิด มีโลภะ เป็นต้น เพราะคงไม่มีสิ่งใดที่จะมืดเท่ากับความ

ไม่รู้ที่เกิดพร้อมกับโลภะในขณะนั้น ครับ

ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงโลภะเท่านั้นที่ทำให้พินาศ เป็นภัย ทำจิตให้กำเริบและทำให้ไม่

เห็นตามความเป็นจริง แม้อกุศลอื่นๆ มีโทสะและโมหะ เป็นต้น ก็ย่อมทำให้เป็นเช่นนี้

เช่นกัน เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ฟังพระธรรมในหนทางที่ถูก เมื่อปัญญาเจริญขึ้น

ย่อมเห็นภัยภายในด้วยปัญญา ย่อมสว่างขึ้นด้วยปัญญาเพราะเห็นตามความเป็นจริง

ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ย่อมรู้อรรถและธรรม คือเข้าใจเหตุและผลว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุ

และปัจจัยจึงเกิดขึ้น มีเหตุคือสภาพธรรมเกิดขึ้นและมีผลของสภาพธรรมทีเ่กิดขึ้นแล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีเราเพราะทุกอย่าเงป็นไปตามเหตุและปัจจัย เป็นไปตามเหตุและผลของ

สภาพธรรมครับ ปัญญาเท่านั้นที่จะละความไม่รู้อันเป็นความมืดที่สุดครับ

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 19 พ.ค. 2554
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 19 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่า สภาพธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับ ไม่ยั่งยืน แม้แต่โลภะ ซึ่งเป็นความติดข้องยินดีพอใจ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล พอใจในรูปบ้าง พอใจในเสียงบ้าง พอใจในกลิ่นบ้าง พอใจในรสบ้าง พอใจในสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย บ้าง เป็นต้น ชีวิตประจำวัน ยากที่จะพ้นไปจากโลภะได้ มีมากจริงๆ , เราไม่สามารถที่จะมีกุศลจิตเกิดตลอดเวลา และตลอดทั้งวันก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อกุศลจิตเกิดแต่เพียงอย่างเดียว (มีกุศล เกิดบ้าง) บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมมีความเป็นไปอย่างนี้จริงๆ กล่าวคือ มีทั้งกุศลและอกุศล แต่ในชีวิตประจำวันอกุศลจะเกิดมากกว่ากุศล โลภะ เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ว่าจะเป็นโลภะที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมี ที่ตนหามาได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยชอบธรรม ที่ไม่ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อนโดยการกระทำทุจริต หรือจะเป็นโลภะที่มีกำลังกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องในระดับใดย่อมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งนั้น เพราะเป็นอกุศลธรรม, อกุศลธรรม เป็นโทษ เป็นภัย ไม่นำประโยชน์สุขใดๆ มาให้เลยแม้แต่น้อย และในขณะที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้น ไม่รู้ความจริง เพราะเป็นอกุศล มีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วย ทุกขณะที่จิตเป็นอกุศล จะมีโมหะเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อดทนที่จะศึกษา อดทนที่จะฟังพระธรรมเท่านั้น จึงจะเห็นประโยชน์ของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การที่จะลดละคลายกิเลส มีโลภะ เป็นต้นนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ระลึกถึงกิเลสของตนเอง โดยที่ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสเพราะเห็นโทษของกิเลส แล้วกิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลง กุศลทั้งหลายก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา ดังนั้น การที่จะลดละคลายกิเลสอกุศล มีโลภะ เป็นต้น ได้ จึงมีหนทางเดียวเท่านั้น คือ อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ , คุณผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pirmsombat
วันที่ 19 พ.ค. 2554

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น , คุณเผดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
bsomsuda
วันที่ 19 พ.ค. 2554

"..เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงแล้ว

ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ระลึกถึงกิเลสของตนเอง

โดยที่ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส เพราะเห็นโทษของกิเลส

แล้วกิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลง.."


ขอบพระคุณ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ คุณผเดิม อ.คำปั่นและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 20 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 20 พ.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พรรณี
วันที่ 27 พ.ค. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ