วันหนึ่ง ชาติหนึ่ง จึงมีแต่นามธรรมที่เกิดขึ้นรู้สี่งที่ปรากฏ

 
pirmsombat
วันที่  16 พ.ค. 2554
หมายเลข  18364
อ่าน  1,542

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ .....ทีนี้เราก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ลักษณะของสภาพรู้นี้คือ

ตลอดวัน จะคิด จะเห็น จะนึก อะไรต่ออะไร

ทั้งหมดนี้มันเป็นสภาพรู้ แต่เป็นหลายชนิดสลับกัน

เพราะฉะนั้นวันหนึ่ง ชาติหนึ่ง จึงได้มีแต่นามธรรม ที่เกิดขึ้นรู้สี่งที่ปรากฏ

เวลาเห็น เห็นสี่งที่ปรากฏทางตา

ทีนี้ไม่รู้จักสี่งที่ปรากฏทางตา

ก็ไม่มีทางที่จะไป รู้เห็นได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขณะนี้กำลังมีสภาพธรรม โลกปรากฎได้ มีสิ่งต่างๆ มากมาย มีสีต่างๆ มีเสียงต่างๆ

มากมาย โลกปรากฎให่รู้ว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายเพราะมีสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมคือจิต

และเจตสิกทีเกิดขึ้นรู้อารมณ์ รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้น รู้สีทำให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เพราะมี

จิตเห็น รู้ว่าเป็นเสียง รู้ว่าเป็นเสียงของใครเพราะมีจิตได้ยินและมีการคิดนึกซึ่งก็เป็น

จิตอีกประเภทหนึ่งเกิดต่อรู้ความหมายว่าหมายถึงอะไรและเป็นสียงของใคร มีจิตที่

ได้กลิ่น มีจิตลิ้มรส เป็นต้นและมีจิตที่คิดนึกหลังจากที่ได้กลิ่น ลิ้มรสแล้ว โลกนี้จึง

ปรากฎมากมายเพราะอาศัยสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมคือ จิตแลเจตสิกทีเกิดขึ้น ซึ่ง

นามธรรมที่เป็นจิตก็มีมากมายหลากหลายประเภท ตามสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้จิต

เกิดขึ้นคือเจตสิก จิต เจตสิกทั้งหมดเป็นสภาพรู้ รู้อะไร รู้ในสิ่งที่ปรากฎ สิ่งที่จิตรู้

เรียกว่าอารมณ์นั่นเองครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 16 พ.ค. 2554

ดังนั้นในชีวิตหนึ่งก็คือแต่ละขณะจิตที่เป็นไป แต่ละขณะจิตที่เกิดขึ้น แต่ละขณะที่เป็น

เพียงนามธรรมเท่านั้น หาความเป็นสัตว์ บุคคลไม่ได้เลยเพราะเป็นแต่เพียงสภาพธรรม

ที่เป็นนามธรรมแต่ละขณะคือจิตแต่ละขณะเกิดขึ้นเท่านั้นครับ

เวลาเห็น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เพราะความไม่รู้จึงไม่ได้เห็นด้วยปัญญาว่า

เห็นสีหรือสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น ปัญญาไม่ได้ระลึกรู้ในขณะนั้น แต่ล่วงเลยไป

เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งที่คิดนึกเป็นคน เป็นสัตว์ บุคคลไปหมดแล้วครับ เมื่อไม่รู้ความ

จริงในสิ่งที่ปรากฎทางตาก็เป็นผู้หลงลืมสติ และเมื่อปัญญาไม่มากพอก็ไม่รู้ความจริง

ในขณะที่เห็นว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เห็นเท่านั้น ดังนั้นเพราะความไม่รู้และปัญญา

ไม่มากพอจึงไม่สามารถรู้ความจริงที่เป็นเพียงจิตแต่ละอย่างแต่ละประเภทว่าเป็นธรรม

ใช่เราครับ หนทางเดียวคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรม แต่

ไมใช่มุ่งหมายให้ไปจำชื่อให้ได้มากๆ แต่คืออาศัยชื่อที่ได้ศึกษาเพื่อเข้าใจตัวจริงของ

สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ครับ ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 17 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น วันหนึ่ง ชาติหนึ่ง ย่อมไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ นามธรรม และ รูปธรรม เกิดดับเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย เป็นสังสารวัฏฏ์ (ทุกขณะของชีวิตเป็นสังสารวัฏฏ์) แต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์หรือ น้อมไปสู่อารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตและเจตสิก รู้) เป็นนามธรรม ได้แก่ จิตและเจตสิกเท่านั้น ไม่มีตัวตนที่ไปรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นธรรมประเภทที่เป็นนามธรรมเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นๆ และจิตที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีซ้ำสอง ทุกขณะของชีวิต จึงไม่เคยว่างเว้นจากนามธรรมเลยแม้แต่ขณะเดียว ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นการฟังในสิ่งที่มีจริง ไ้ด้แก่ นามธรรม กับ รูปธรรมนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เข้าใจความเป็นจริงของธรรม ว่า ทุกขณะ เป็นธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะแท้จรงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี มีแต่ธรรมที่เกิดขึั้นเป็นไปเท่านั้น ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ, คุณผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pirmsombat
วันที่ 17 พ.ค. 2554

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น, คุณเผดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พรรณี
วันที่ 18 พ.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สมศรี
วันที่ 18 พ.ค. 2554
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ