เมื่อรู้สภาพเห็น จึงรู้ว่าไม่ใช้สภาพรูป

 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่  15 ก.พ. 2554
หมายเลข  17888
อ่าน  1,286

เมื่อรู้สภาพเห็น จึงรู้ว่าไม่ใช่สภาพรูปหรือครับ? เหตุที่ถามเพราะอยากฟังมากๆ อยากเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ และผมเชื่อว่าท่านวิทยากรมีเมตตา กรุณามาก และเชิญทุกๆ ท่าน โปรดสนทนาด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 15 ก.พ. 2554

ความจริง ธรรมแต่ละอย่างก็แตกต่างกันโดยลักษณะของธรรมนั้นๆ แต่เพราะเราเพิ่งจะเริ่มอบรมปัญญา จึงยังไม่คุ้นเคยที่จะเห็นถูก ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างที่มีจริงต่างกันโดยลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ตายตัว และไม่ปะปนกับธรรมอื่น เพราะการสะสมความยึดมั่นว่าสิ่งต่างๆ ที่มีจริงเป็นอัตตามานาน จึงทำให้ไม่ชินที่จะรู้ว่า ไม่มีเราแต่มีธรรม และธรรมที่มีก็หลากหลายมาก เมื่อเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจขึ้น ก็จะค่อยๆ เห็นถูกในลักษณะของธรรมที่มีจริง ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ๆ เพิ่มขึ้น

เช่น ฟังว่า เห็น เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งรูปารมณ์ (สิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิตเห็น) สภาพเห็น เป็นนามธาตุ คือ ธาตุรู้ อาการรู้ ขณะนี้ก็มีเห็น เริ่มฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แต่ยังไม่รู้จักเห็นตามความเป็นจริง ส่วนรูปารมณ์ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา (และปรากฏทางใจซึ่งรับรู้ต่อจากทางตาได้) ฟังว่า รูปารมณ์เป็นรูปธาตุ คือ สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนี้ก็กำลังมีรูปารมณ์ แต่ก็ยังไม่เข้าถึงลักษณะของสิ่งนั้นเช่นกัน ต่อเมื่อฟังไป พิจารณาไป เมื่อเข้าใจขึ้นๆ ๆ จนเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สติสัมปชัญญะระลึกรู้ตรงเห็น ขณะนั้นปัญญาก็ศึกษาสภาพเห็นที่ปรากฏชั่วขณะแล้วปัญญาก็ดับไป เมื่อมีปัจจัยอีก สติสัมปชัญญะก็เกิด ระลึกรู้ตรงสภาพของรูป ปัญญาก็ศึกษารูปที่ปรากฏชั่วขณะ แล้วปัญญาก็ดับไปอีก โดยความเป็นอนัตตาของสติสัมปชัญญะที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะระลึกธรรมใด อาจจะไม่ใช่การระลึกรู้สภาพเห็น หรือ สภาพรูปก็ได้ แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดจะปรากฏ เมื่อสติสัมปชัญญะเกิด สติสัมปชัญญะก็ระลึกศึกษาในสภาพธรรมที่ปรากฏนั้นครับ

แต่นี่เป็นเพียงขั้นการอบรม ยังไม่ใช่ขั้นที่เห็นแจ้งในลักษณะของนาม-รูป ที่ต่างกันโดยชัดเจนทันที ยังจะต้องสะสมปัญญาต่อไปอีกมาก ...อีกยาวนานมาก เพราะปกติก็หลงลืมสติกันมากอยู่แล้ว เมื่อมีปัจจัยให้ระลึกได้ ระลึกได้นิดนึง แล้วก็ดับไปแล้วก็มีปัจจัยให้หลงลืมสติทันที เพราะเราสะสมอกุศลมามาก จึงต้องพึ่งการฟังพระ-ธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง โดยไม่ถูกความต้องการจูงไปในหนทางที่ผิดอบรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกาลที่จะประจักษ์แจ้งความต่างกันโดยชัดเจนของนาม-รูปที่ปรากฏ โดยไม่ใช่เพียงขั้นฟังแล้วคิดว่าต่างกัน แต่จะต้องรู้ชัดโดยปัญญาขั้นวิปัสสนา-ญาณ ที่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันโดยการประจักษ์จริงๆ ครับ

ซึ่งวิปัสสนาญาณนั้น เป็นผลที่จะต้องมาจากการอบรมเหตุ คือ ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จนเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ก่อน อย่าพึ่งใจร้อน อยากจะรู้ความแยกกันของนาม-รูปใด นาม-รูปหนึ่งครับ ไม่ลืมว่าทั้งหมดเป็นหน้าที่ของธรรม ไม่ลืมว่าเป็นอนัตตา ทำไม่ได้ แต่อบรมปัญญาให้เข้าใจธรรมได้ ธรรมที่จะรู้ชัดความจริงของนาม-รูปได้ตามลำดับ ก็คือ ปัญญา เท่านั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pamali
วันที่ 16 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 16 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณครับท่านchaiyut - เมื่อระลึกได้นิดหนึ่งแล้ว อีกนานไหมครับกว่าจะระลึกได้อีก - เมื่อรู้สภาพเห็นแล้วปัญญาก็รู้สภาพรูปด้วย โดยความต่างกันของสองสภาพ ด้วยปัญญาที่ศึกษาได้ใช่ไหมครับท่าน หรือว่าสติต้องระลึกสภาพรูปนั้นภายหลังครับ ผมนี้คงจะใจร้อนจริงนะครับท่าน ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyut
วันที่ 17 ก.พ. 2554

ขออนุญาตเรียนถามกลับเพื่อจะได้พิจารณาคำตอบด้วยตัวเองนะครับ1. จากข้อความ ............ "เมื่อระลึกได้นิดหนึ่งแล้ว อีกนานไหมครับกว่าจะระลึกได้อีก" ...... ตรงนี้ คุณชีวิตคือขณะจิต กำลังต้องการให้สติฯ ระลึกหรือไม่ ถ้าต้องการให้สติฯ ระลึก จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราต้องการ หรือให้รอคอยการเกิดของสติฯ หรือไม่? จิตที่กำลังหวัง กำลังรอคอยสติฯ ที่ยังไม่เกิด อยากให้เกิด เป็นจิตประเภทใด แล้วจิตนั้นจะทำให้สติเกิดได้หรือไม่?

2. จากข้อความ ... "เมื่อรู้สภาพเห็นแล้วปัญญาก็รู้สภาพรูปด้วย โดยความต่างกันของสองสภาพ ด้วยปัญญาที่ศึกษาได้ใช่ไหมครับท่าน" .........จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะรู้ได้ ๑ อารมณ์ เวลาที่ระลึกรู้สภาพธรรม สติและปัญญาเกิด สติและปัญญาก็ต้องเกิดกับจิต สติและปัญญาจะรู้ ๒ อารมณ์ในขณะจิตเดียวกันได้หรือไม่ได้?

3. จากข้อความ ..... "หรือว่าสติต้องระลึกสภาพรูปนั้นภายหลังครับ" ......เวลาที่สติเกิด สติก็ต้องเกิดกับจิต สติที่ระลึกรู้สภาพธรรมนั้น ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้หรือไม่ แล้วการระลึกรู้ครั้งเดียว เพียงพอหรือไม่ที่จะรู้ชัดสภาพธรรมที่ไม่เหมือนกันโดยลักษณะต่างๆ ?

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 18 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณครับท่านChaiyut1. โมหะคืออวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาเป็นธรรมตัดศีรษะ จิตต้องกอปรด้วยปัญญา2. สติต้องระลึกรู้สภาพรูปนั้นด้วย ปัญญากระทำกิจรู้ลักษณะ 2 สภาพ3. จิตต้องกอปรสติด้วย และสัมปชัญญะด้วย ขออนุโมทนาที่ให้ความรู้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chaiyut
วันที่ 18 ก.พ. 2554

เรียนคุณชีวิตคือขณะจิตครับ

1. จิตต้องกอปรด้วยปัญญาก็มี เช่น ขณะที่เข้าใจธรรมที่ได้ฟัง จิตที่ไม่ต้อง กอรปด้วยปัญญาก็มี เช่น ขณะที่พะวงเรื่องอื่นเวลาฟังธรรมครับ 2. ข้อนี้ขออนุญาตแย้งนิดนึงครับ กิจของปัญญา มีการแทงตลอดความจริงเป็น

ลักษณะ คือ รู้ชัดลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทีละลักษณะๆ ๆ ปัญญาที่เกิดแต่ละขณะ รู้ทีละลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น ถึงแม้ว่าปัญญาจะรู้ได้ทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงไม่พลาด แต่การเข้าถึงธรรม ต้องทีละอย่างๆ ไปครับ ไม่ใช่การรู้พร้อมกัน ติดกันไปทั้งหมด ถ้ารู้พร้อมกันหมดก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะตอนนี้ ได้ยิน กับ เห็น เราคิดว่าพร้อมกัน แต่การรู้เช่นนี้ไม่ใช่ปัญญาเพราะปุถุชนทุกคนรู้เช่นนี้กันทั้งนั้นครับ ที่รู้อย่างนี้ เพราะเห็นผิดและไม่รู้การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริง อย่างในขณะนี้ "กำลังเห็น" มี "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ด้วย แยกไม่ออกเพราะว่าเป็นเรา เป็นอัตตา ติดกันเป็นพืดไปหมด ไม่เห็นตามความเป็นจริง ว่าธรรมแต่ละอย่างเป็นแต่ธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียวกันและไม่ใช่เรา ดังนั้นเวลาที่ปัญญาเกิดพร้อมสติที่ระลึกตรงสภาพธรรมทีมีจริง ต้องไม่ใช่รู้ลักษณะ ๒ สภาพครับ แต่เป็นการระลึกรู้เพียงสภาพหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้าจริงๆ เท่านั้น และเมื่อปัญญามากขึ้น มีการระลึกรู้บ่อยๆ เนืองๆ เป็นปรกติ ปัญญาย่อมจะค่อยๆ เห็นความต่างของสภาพธรรมเอง ว่าสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้น เป็นแต่ละลักษณะที่แตกต่างกัน ลักษณะหนึ่งเป็นสภาพรู้ สภาพรู้ก็ต่างกันไปอีกหลากหลาย เช่น เห็น ก็ไม่ใช่ ได้ยิน , ได้ยิน ก็ไม่ใช่ คิดนึก ฯลฯ ส่วนอีกลักษณะหนึ่งเป็นสภาพไม่รู้ คือ รูป รูปก็มีมากมายเช่นกัน เช่น เสียง ก็มีหลายเสียง, เสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็วิจิตรแตกต่างกันไปเป็นสีต่างๆ มากมาย เป็นต้น เมื่อปัญญารู้ความต่างของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฏทางทวารต่างๆ ปัญญาก็ค่อยๆ เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมซึ่งปรากฏให้รู้ได้ชั่วขณะเท่านั้น ความรู้ที่ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และเมื่อได้เห็นถูกในสภาพธรรม จึงละคลายความไม่รู้และความเห็น-ผิดในสิ่งที่ปรากฏลงตามลำดับของปัญญาครับ

3. จิตต้องกอรปด้วยสติและสัมปชัญญะก็มี เช่น ขณะที่ระลึกรู้ลักษณะของแข็งที่

ปรากฏและเห็นใจถูกว่าแข็งเป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา จิตขณะนั้นมีสติสัมปชัญญะเกิดร่วมด้วย จิตที่ไม่ต้องกอรปด้วยสติและสัมปชัญญะก็มีเช่น ขณะที่หลงลืมสติ ยึดถือว่าแข็งนั้นเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต อกุศลจิตทุกดวงไม่มีสติสัมปชัญญะเกิดร่วมด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 19 ก.พ. 2554

เรียนท่านchaiyut - ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง - ไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับ ผมไม่ได้สำคัญตนที่ถาม ผมได้ความรู้จากท่าน ท่านจำแนกให้ทราบว่า "...กิจของปัญญา มีการแทงตลอดความจริงเป็นลักษณะ คือ รู้ชัดลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทีละลักษณะๆ ๆ ปัญญาที่เกิดแต่ละขณะ รู้ทีละลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น ถึงแม้ว่าปัญญาจะรู้ได้ทุกอย่างตรงตามความเป็นจริงไม่พลาด แต่การเข้าถึงธรรม ต้องทีละอย่างๆ ไปครับไม่ใช่การรู้พร้อมกัน ติดกันไปทั้งหมด..." ขออนุโมทนาบุญครับท่านchaiyut

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 19 ก.พ. 2554
น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระธรรมของพระพุทธเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chaiyut
วันที่ 19 ก.พ. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณชีวิตคือขณะจิตด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
intira2501
วันที่ 28 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตท้งสองท่านด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ