ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กองทัพภาคที่ ๓ พิษณุโลก ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  29 ม.ค. 2554
หมายเลข  17793
อ่าน  2,591

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ เป็นอีกวาระหนึ่ง ที่ควรค่าแก่การบันทึกและจดจำไว้ว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยไปสนทนาธรรมกับคณะนายทหารผู้บังคับหน่วยที่ขึ้นตรงต่อกองทัพภาคที่ ๓ ทั้ง ๑๑ จังหวัดภาคเหนือ ณ ห้องประชุมกองทัพภาคที่ ๓ ค่ายนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก

แม้ว่า จะเป็นการสนทนาธรรมในระยะเวลาสั้นๆ (๙.๐๐ น.- ๑๑.๓๐ น.) แต่เต็มไปด้วยสาระและความละเอียดลึกซึ้ง เป็นอีกครั้งหนึ่งของความประทับใจของข้าพเจ้า ที่ได้มีโอกาสร่วมรับฟังการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ และ คุณคำปั่น ในวันนั้น ดีมากๆ จริงๆ ครับ

ในความคิดของข้าพเจ้า การได้มีโอกาสได้ฟังการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ในวันนั้น เป็นเสมือนของขวัญล้ำค่า ที่ท่านได้มอบให้เหล่าทหารหาญของชาติ เนื่องในโอกาสพิเศษ วันคล้ายวันเกิดครบ ๗ รอบปีนักษัตรของท่าน ซึ่งจะมีขึ้น ในสองวันถัดมานั้นเอง เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ของวงการทหารหาญของชาติ ที่ได้มีโอกาส มีบุญอันเคยกระทำไว้แต่ชาติปางก่อน ให้ได้รับฟัง ได้เข้าใจธรรมะ อันเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก

ข้าพเจ้าหวังว่าทุกท่าน จะได้มีโอกาสได้ฟังการสนทนาธรรมในวันนั้น อย่างครบถ้วนในวาระต่อไป สำหรับวันนี้ ข้าพเจ้ากระทำได้เพียงบอกกล่าว และ นำเสนอได้เพียงข้อความบางตอนเท่านั้น และเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่านที่เพิ่งผ่านไป ข้าพเจ้าใคร่ขอถือโอกาสบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยกระทู้อันเป็นวาระที่แสนวิเศษนี้ครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

อันดับต่อไป ขอเรียนเชิญ คุณคำปั่น อักษรวิลัย ได้กรุณาเรียนแนะนำ ประวัติ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้กับผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายธรรมครั้งนี้ ต่อไปครับ

คุณคำปั่น ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ ผู้เข้าร่วมศึกษาพระธรรมทุกๆ ท่านครับ สำหรับวันนี้ก็เป็นโอกาสดีอีกวันหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีโอกาสได้มาสนทนาธรรมะเพื่อให้ทุกท่านได้ฟัง เพื่อเป็นประโยชน์ในการสะสม ความรู้ ความเข้าใจธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ในตอนแรกนี้ ก็จะขอแนะนำ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้ทุกท่านได้รับทราบพอสังเขปดังนี้นะครับ

ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๙ ท่านเป็นบุตรีของ หลวงบริหารวนเขตต์ (ฉัตร ชูเกียรติ) และ นางบริหารวนเขตต์ (เจริญ ปุณสัณฐาน) ท่านอาจารย์ สุจินต์ ก็มีชีวิตที่ดำเนินไปตามฆราวาสวิสัย มีการศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา

และช่วงเวลาที่มีค่าแล้วก็สำคัญที่สุด ในชีวิตของท่านก็คือ มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะ ได้ศึกษาพระอภิธรรม กับ ท่านอาจารย์ แนบ มหานีรานนท์ คุณพระชาญบรรณกิจ และ คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต เมื่อท่านอาจารย์ได้เริ่มศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจธรรมะ มากยิ่งขึ้นแล้ว ก็มีเมตตาจิต ที่จะอนุเคราะห์ ให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรมะ เข้าใจสิ่งที่มีจริงด้วย จึงมีการบรรยายธรรมะ มีการสนทนาธรรมะ เริ่มที่ตำหนักสมเด็จฯ วัดมหาธาตุฯ บรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนา

หลังจากนั้นก็ ได้บรรยายที่ตึกสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศน์วิหาร เมื่ออาคารศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนามีการก่อสร้างสำเร็จแล้ว ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็มาสนทนาธรรมะที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ที่ซอยเจริญนคร ๗๘ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นผู้มีเมตตาจิต ที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูล ให้ผู้ศึกษาพระธรรมนั้น ได้เข้าใจธรรมะ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง จึงมีผู้ที่เห็นคุณ เห็นประโยชน์ในการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีการมอบรางวัล หลายรางวัลด้วยกันอย่างเช่น

-ได้รับโล่ห์พระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ในฐานะที่เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา

-ได้รับปริญญาศาสนศาสตร์มหาบัณฑิตและ ศาสนศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย

-ได้รับรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาเนื่องในวันสตรีสากลขององค์การสหประชาชาติ

-ได้รับรางวัลและประกาศเกียรติคุณ จากคณะกรรมาธิการศาสนาและศิลปะวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรนะครับ ซึ่งเป็นประกาศเกียรติคุณ พุทธคุณูปการ ระดับกาญจนเกียรติคุณ

อันนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้ที่เห็นความสำคัญในการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ แล้วก็มีการมอบรางวัลเหล่านี้ให้

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ท่านอาจารย์นั้น ได้อุทิศชีวิต ทั้งชีวิต ตลอด ๕๐ กว่าปี ในการเผยแพร่พระธรรม ให้ผู้ฟังได้มีโอกาสได้ฟังได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมนั้น เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับชีวิตของท่าน และก็ มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดเลย นอกจากความรู้ ความเข้าใจ ของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมเท่านั้น จริงๆ อันนี้ก็เป็นเพียงประวัติย่อๆ ของท่านอาจารย์ ที่ได้กล่าวให้ทุกท่าน ได้รับฟัง ได้รับทราบ ในช่วงแรกนี้ ก็กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์ ได้สนทนาธรรมะ เป็นอันดับแรกก่อนครับ


ท่านอาจารย์ ธรรมะ เป็นสิ่งที่คุ้นหู แต่ว่า มีกี่คน? ที่จะได้เข้าใจธรรมะ ว่าเป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ดับขันธปรินิพพาน ถึง ๔๕ พรรษา

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด เพราะเหตุว่า กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ความจริง ที่ใช้คำว่า สัจจธรรม จนกระทั่ง สามารถที่จะอนุเคราะห์คนอื่น ให้ได้เข้าใจความจริงด้วย ก็เป็นสิ่งที่ ทุกคำ มีค่า เท่ากับการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพียงวัน หรือชาติ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร

เพราะฉะนั้น แต่ละคน ก็มีโอกาสที่จะได้ฟัง สิ่งซึ่งเป็นพระธรรม โดยตรง เหมือนการเฝ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า ข้อความใด ที่ได้ตรัสไว้เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี ก็ได้มีจารึกไว้ พร้อมที่จะให้คนที่ได้เห็นคุณค่า ได้ศึกษา ได้เข้าใจ และ เห็นคุณของพระรัตนตรัย เพราะเหตุว่า เวลาที่กล่าวว่า ขอถึงพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เป็นแต่เพียง "คำ" แต่ความจริงใจ.....มีมากน้อยแค่ไหน?....

เพราะเหตุว่า ถ้าเพียงแต่กล่าวคำว่า "ขอถึง" พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ หรือ เป็นที่พึ่ง แต่ไม่ฟังพระธรรม.....ไม่เข้าใจพระธรรมเลย ก็เป็นการถึงซึ่ง ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรากล่าว ว่าเราขอถึง เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ สำหรับทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เป็นความจริง เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถที่จะ "คิด" ธรรมะได้เองเลย ใครที่คิดว่า "ธรรมะ" ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องพิจารณา ไม่ต้องศึกษา เท่ากับประมาท หรือ หมิ่น พระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ควรที่จะได้ตั้งใจ เคารพบูชาพระรัตนตรัย ด้วยการฟัง เพื่อความเข้าใจในพระธรรมซึ่งยาก ที่มีโอกาสจะได้ยิน เพราะฉะนั้น ในวันนี้ ก็ได้มีการพบปะกัน เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ในการที่จะได้สนทนาธรรม หรือว่า ได้ทำให้มีความเข้าใจว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ที่เราคิดว่าเราเข้าใจแล้ว ความจริง ลึกซึ้งกว่านั้นมาก แล้วก็ต้องฟังด้วยความศรัทธามั่นคงจริงๆ จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ แม้เพียงเล็กน้อย ลองคิดดูว่า คนในยุคโน้น มีโอกาสได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรม แต่ว่า มีสักกี่คนที่สามารถที่จะรู้ความจริง ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง ส่วนน้อยที่ได้รู้ความจริง เพราะต้องสะสมความเข้าใจมากพอ ที่จะเข้าใจธรรมะ

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งโน้นบ้าง แล้วก็มีความเข้าใจเล็กน้อยบ้าง ก็มีโอกาสที่ ในขณะนี้ ได้มีโอกาสที่จะได้ฟัง ให้เข้าใจเพิ่มเติมขึ้น เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ทุกคน ที่จะได้มีโอกาส ได้ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่า พระธรรมต้องเป็นพระพุทธพจน์จากพระไตรปิฎก ที่ได้ตรัสไว้ แสดงไว้โดยตรง

สำหรับในวันนี้ ก่อนที่จะได้สนทนา หรือว่า กล่าวถึงธรรมะ ก็ขอยกพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเครื่องเตือนใจ ข้อความนี้ มีว่า

........

เมืองใด ไม่มี ทหารหาญ เมืองนั้น ไม่นาน เป็นข้า
เมืองใด ไร้จอม พารา เมืองนั้น ไม่ช้า อับจน
เมืองใด ไม่มี พาณิชย์เลิศ เมืองนั้น ย่อมเกิด ขัดสน
เมืองใด ไร้ศีล โสภณ เมืองนั้น ไม่พ้น เสื่อมทราม

เมืองใด ไม่มี กวีแก้ว เมืองนั้น ไม่แคล้ว คนหยาม
เมืองใด ไร้นารีงาม เมืองนั้น หมดความ ภูมิใจ
เมืองใด ไม่มี กวีเลิศ เมืองนั้น ไม่เพริศ พิสมัย
เมืองใด ไร้ธรรม อำไพ เมืองนั้น บรรลัย แน่เอย...

เป็นเครื่องเตือนใจ แต่ว่า คนอาจจะลืมที่จะคิดถึงแต่ละคำ นี่ก็เป็นเครื่องเตือนใจ แต่ว่าพระธรรม เตือนใจยิ่งกว่านั้น มากทีเดียว เพราะว่า แม้แต่ข้อความใดที่เป็นประโยชน์ ข้อความนั้น ไม่ใช่ข้อความที่พระผู้มีพระภาคไม่ได้กล่าวไว้ เพราะฉะนั้น ทุกคำที่พูดกันตั้งแต่เกิดจนตาย บางทีเราไม่ได้เข้าใจคำนั้นเลย แต่ว่าพอได้อ่านพระไตรปิฎก ได้ฟังแม้ในคำอธิบาย แต่ละคำ ก็จะทำให้เรารู้ได้ว่า ทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจความจริง ที่เราเคยพูด ตั้งแต่เกิด จนตาย เช่น เวลาที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมะเสร็จแล้ว จบแล้ว ผู้คนก็ชื่นชมในพระภาษิต เพราะ "เข้าใจ" แต่ก็มีคำอธิบายความหมายของคำว่า "ชื่นชม" อีก เพราะว่าทุกวันนี้ เราก็ใช้คำว่า "ชื่นชม" แต่ว่า แม้แต่เพียงคำว่า "ชื่นชม" คืออะไร? มีความสุขในขณะที่ฟัง ขณะใด "ชื่นชม" ในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น แต่ละคำในพระไตรปิฎก และ อรรถกถา จะทำให้เราสามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ขอเป็นการสนทนาธรรมะตามที่มีผู้สนใจ แต่ขอแนะนำผู้ร่วมสนทนาอีกท่านหนึ่ง คือ คุณคำปั่น อักษรวิลัย จบเปรียญ ๙ ตั้งแต่เป็นสามเณร เป็นนาคหลวง เพราะฉะนั้น ก็คงจะมีคำตอบสำหรับภาษาบาลี ซึ่งบางท่านอาจจะสนใจถึงความลึกซึ้งด้วย ขอเชิญค่ะ

คุณคำปั่น ครับก็เป็นสิ่งที่ฟังได้ยากนะครับ เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ทรงแสดงนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็ลึกซึ้ง ผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดี ได้สะสมบุญมาแต่ชาติปางก่อน เท่านั้น ถึงจะมีโอกาส ได้ฟัง ได้ศึกษา แล้วก็มีความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไป ตามลำดับ ถ้าหากว่า จะพิจารณาชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน การที่จะได้สิ่งที่ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการได้รูป การได้เสียง การได้กลิ่น การได้รส การได้สิ่งที่ กระทบสัมผัสกาย ที่น่าพอใจ เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย ในชีวิตประจำวัน


แต่โอกาสที่หาได้ยากในชีวิต ก็คือการได้มีโอกาสฟังพระธรรม สะสมปัญญา จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ในแต่ละครั้ง นะครับ อย่างเช่น ในวันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ทุกท่านจะมีโอกาสได้ฟัง ในสิ่งที่หาฟังได้ยาก ก็คือ พระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง ซึ่งกว่าที่พระองค์จะได้ทรงตรัสรู้พระธรรมนั้น ต้องบำเพ็ญบารมีที่ยาวนานมากเลย ตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ นะครับ สี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งนานมาก ไม่ใช่วัน ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่ปี แต่นานจริงๆ จนกว่าจะได้ตรัสรู้สภาพธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน

และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็มีเมตตาที่จะเกื้อกูล อนุเคราะห์ ให้สัตว์โลกนั้น ได้เข้าใจธรรมะ ตามความเป็นจริง ตามพระองค์ด้วย จึงทรงแสดงพระธรรม ประกาศพระศาสนา ตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนาน เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้เข้าใจธรรมะ ตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์ ข้อความที่ว่า "เมืองใด ไม่มี ทหารหาญ เมืองนั้น ไม่นาน เป็นข้า" คำว่า "ทหาร" ก็มาจากภาษาบาลี ใช่ไหม? ขอเชิญให้คำแปลด้วยค่ะ
คุณคำปั่น คำว่า ทะ หะ ระ (ทหร) นี้หมายถึง คนที่เป็นคนหนุ่ม ซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่เพียบพร้อมด้วยกำลัง กำลังในที่นี้ ก็หมายถึง กำลังกาย มีความเข้มแข็งที่จะสามารถทำหน้าที่ ในการปกปักรักษา คุ้มครอง
ท่านอาจารย์ ก็คงจะเป็นที่มา ของคำว่า "ทหาร" ใช่ไหม?
คุณคำปั่น ใช่ครับท่านอาจารย์ครับ เป็นที่มาของคำนี้ด้วยครับ
ท่านอาจารย์ บางครั้ง พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสถึง "เมือง" แล้วก็ตรัสถึง "ทหาร" ด้วย ทหารคือผู้ที่มีความเข้มแข็ง มีความกล้าหาญ แล้ว "เมือง" นั้น อยู่ที่ไหนคะ? ถ้าไม่ใช่ อยู่ที่ตัวของแต่ละคน เพราะฉะนั้น แต่ละคน เป็นทหารที่ต้องรบ แต่ต้องรบกับกิเลส รบกับความไม่รู้ รบกับความไร้คุณธรรม หรือ รบกับการที่จะทำสิ่งที่ไม่ดีด้วยกำลังความติดข้อง ความไม่รู้ นั่นเอง

.........

ขอเชิญคลิกฟังข้อความที่ท่านอาจารย์เคยสนทนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรบกับกิเลส

ได้ที่นี่ครับ...

ชนะกิเลสตนเอง ไม่ใช่ชนะกิเลสคนอื่น


กาละแห่งโอกาส อันผลบุญของท่านที่ได้ฟังพระธรรมในวันนั้น ได้จบสิ้นไปแล้ว ความที่จัักได้สะสมสืบต่อในการเห็นประโยชน์ ในความรู้ ความเข้าใจในพระศาสนา ในพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ย่อมเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแต่ละหนึ่งๆ จริงๆ นะครับไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา การจะมีบุคคลใดท่านใด ที่ได้รับฟังแล้วมีความเข้าใจ มีศรัทธาในการอบรมเจริญปัญญา ต่อๆ ไปอีก เป็นสิ่งเดียวที่ท่านอาจารย์หวัง (ด้วยความเมตตาของท่าน) จากการที่ท่านได้พากเพียร ตรากตรำ บรรยาธรรมให้ทุกท่านได้มีความเข้าใจธรรมะ มาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน กว่า ๕๐ ปี จนถึงทุกวันนี้ ท่านไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่า ท่านมีความเหน็ดเหนื่อยใดๆ ตรงกันข้าม ท่านกลับยิ่งดู อาจหาญ ร่าเริง สดใส เป็นอย่างยิ่ง ในทุกกาละ ที่มีการเชิญท่าน ไปสนทนาธรรม ไม่ว่าในที่แห่งไหนๆ ครับ

"...กราบเท้าท่านอาจารย์ บูชาพระคุณอีกครั้ง สิ่งที่ลูกศิษย์มุ่งหวัง ให้ท่านเป็นดังร่มโพธิ์ร่มไทร อายุยืนนาน แข็งแรง ตลอดไป ชีวิตก้าวเดินต่อไป ปลูกความรู้ไว้ ในใจทุกคน..."

กราบเท้าอนุโมทนาในกุศลทุกประการของ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 29 ม.ค. 2554

คำกล่าวของท่านอาจารย์จากชุดพื้นฐานพระอภิธรรมแผ่นที่ ๖ ครั้งที่ ๓๔๐ (ลองไปหาฟังกันดูนะครับ)

คุณเข็ม ค่ะ ท่านอาจารย์คะ กุศลโสมนัสของท่านอาจารย์ที่เกิด (เกิด) ขณะไหนบ้างคะท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกขณะที่มีผู้ศรัทธาฟังพระธรรม และโดยเฉพาะมี ความเข้าใจขึ้นเมื่อไร ดิฉันก็มีความโสมนัสทุกครั้งค่ะ

กราบเท้าอนุโมทนาในธรรมทานด้วยใจที่เมตตาจากท่านอาจารย์

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 29 ม.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัยอีกครั้งครับ

กับสิ่งดีๆ ที่นำมาฝากสหายธรรมให้ได้ร่วมซาบซึ้งในพระคุณของท่านอาจารย์

และได้ร่วมกราบเท้าอนุโมทนาในกุศลบารมีของท่านอาจารย์ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ups
วันที่ 29 ม.ค. 2554

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาด้วยครับ ที่มี " รูป" ที่ดีงามให้ได้ พิจารณา ตลอด

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
intira2501
วันที่ 29 ม.ค. 2554

ท่านอาจารย์ไม่เคยมีความเหน็ดเหนื่อยใดๆ ตรงกันข้าม ท่านกลับยิ่งดู อาจหาญ ร่าเริง สดใส ระลึกครั้งใดมีแต่ความปิติ กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kanchana.c
วันที่ 29 ม.ค. 2554

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ทำให้ได้ติดตามท่านอาจารย์ไปตามที่ต่างๆ ด้วยเช่นกัน คุณวันชัยนอกจากจะเป็นช่างภาพที่มีฝีมือเป็นเลิศแล้ว ยังมีศรัทธา และความเข้าใจธรรมอย่างยิ่งด้วย ขอบคุณที่ทำให้เกิดปีติโสมนัสที่ได้อ่านข้อความที่นำมาลงด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 29 ม.ค. 2554

กราบเท้าอนุโมทนาในธรรมทานด้วยใจที่เมตตาจากท่านอาจารย์ ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 29 ม.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าอนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พรรณี
วันที่ 30 ม.ค. 2554

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

ดิฉันได้รับฟังพระธรรมทาง dhammahome.com อยู่เป็นประจำวันเท่าที่เวลาจะอำนวย

นับว่าเป็นบุญอย่างมาก ขอขอบคุณผู้จัดทำให้มี web นี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pannipa.v
วันที่ 30 ม.ค. 2554

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย (ธรรม) กถา ย่อมเป็นไปได้ด้วยสถาน ๓ สถาน ๓ คืออะไรคือ ผู้ใดแสดงธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถ ได้รสธรรม

ผู้ใดฟังธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถ ได้รสธรรม ผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรม ย่อมเป็นผู้ได้รสอรรถ ได้รสธรรม ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ภิกษุทั้งหลาย (ธรรม) กถา ย่อมเป็นไปได้ด้วยสถาน ๓ นี้แลจาก...อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปเรสสูตรขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา และกุศลวิริยะของคุณวันชัย ที่ได้เกื้อกูลให้สหายธรรมทุกท่านได้เกิดกุศลโสมนัส ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
oom
วันที่ 1 ก.พ. 2554

ได้อ่านข้อความ และดูภาพประกอบแล้วมีความสุข กับบรรยากาศในการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ ที่มีผู้สนใจศึกษาพระธรรมหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะทหารซึ่งเป็นกำลังของประเทศชาติ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 10 ก.พ. 2554

ขอกราบนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น... กราบเท้าท่านอจ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ อย่าง ทั้งหลายทั้งปวง..ทุกกาลเวลาของท่านอจ.ฯ ขอบพระคุณ..คุณวันชัย..และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยมากค่ะ.. สาธุ..สาธู..

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ