ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯในวันมาฆบูชา ๑๘ ก.พ. ๕๔

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  23 ก.พ. 2554
หมายเลข  17942
อ่าน  1,825

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันมาฆบูชาที่ผ่านมา ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มีสหายธรรมทั้งเก่า

และใหม่ ทั้งที่เคยเห็นหน้าบ่อยๆ และ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มาร่วมสนทนา

และฟังพระธรรม เป็นจำนวนมาก ล้นออกมานอกห้อง แม้ว่าจะได้มีการเสริมเก้าอี้ไว้

จนแทบไม่เหลือทางเดินแล้วก็ตาม


มีสหายธรรมท่านหนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้าในวันนั้นว่า

จำนวนสหายธรรมที่มาฟังธรรมในวันนั้นมีราวห้าร้อยคนเห็นจะได้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึง

คำกล่าวในพระสูตร ที่ได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ ว่า

"...หลังจบพระธรรมเทศนา ชาวเมือง...จำนวนห้าร้อยได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม.."

คำกล่าวนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่เริ่มสะสมการฟังและเข้าใจพระธรรมในขณะนี้

หากเมื่อได้มีการเริ่มสะสมการฟังและเข้าใจพระธรรม บ่อยๆ เนือง ย่อมมีโอกาสถึงกาละ

ในคำกล่าวนั้นได้ ในวันหนึ่ง แม้ว่าจะอีกยาวนานแค่ไหนก็ตาม

"...ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

การฟังดีเป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา

บุคคลจะรู้ประโยชน์ก็เพราะปัญญา

ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้..."

.........

ข้าพเจ้าขอชื่นชมอนุโมทนาในกุศลทุกประการของทุกท่านในวันนั้นมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


"...บุคคลพึงรีบขวนขวายในความดี พึงห้ามจิตเสียจากบาป

เพราะว่าเมื่อบุคคลทำความดีช้าอยู่ ใจจะยินดีในบาป.

ถ้าบุรุษพึงทำบาปไซร้ ไม่ควรทำบาปนั้น บ่อยๆ

ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น

เพราะว่าความสั่งสม เป็นเหตุให้เกิดทุกข์.

ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ

พึงทำความพอใจในบุญนั้น

เพราะว่าความสั่งสมบุญ ทำให้เกิดสุข..."

"...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย

รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย

รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว

จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล

เพื่อสุข เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ

วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย

วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว

จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข..." "...นรชนผู้ใด

มีจิตไม่ท้อแท้

มีใจไม่หดหู่

(เป็นผู้มีอัธยาศัยแน่วแน่มั่นคง)

บำเพ็ญกุศลธรรม

เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ

นรชนผู้นั้น

พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างโดยลำดับ..."

อนึ่ง ข้าพเจ้าขออนุญาตนำข้อความการสนทนาบางตอนในวันนั้น มาเสนอเพื่อพิจารณา

พอเป็นสังเขปดังนี้นะครับ


ท่านอาจารย์ ...ใครก็บอกว่าให้ "ละชั่ว" แล้วใครละได้?

หรือแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัส ให้ละชั่ว ก็ไม่ใช่ว่าใครจะละได้

แต่ทรงแสดงให้บุคคลนั้น เกิดปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นะคะ

ซึ่งก็จะเป็นการละชั่ว หรือ กุศลตามลำดับ


คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจว่า ไม่มีเรา สัตว์ ตัวตน บุคคล

เนี่ย ก็จะฟังตรงนี้ไม่เข้าใจ ว่า "การละชั่ว" นี่หมายถึงว่า สภาพธรรมที่ชั่วนี่คือกุศล

แล้วละได้ก็ต้องเป็น "ปัญญา" ที่ละได้ แล้วการทำกุศล ก็คือ กุศลก็เป็นธรรมะฝ่ายดี ซึ่ง

ก็ต้องเป็น "เข้าใจ" อีก ถึงจะสามารถเข้าใจตรงนี้ได้ค่ะ ท่านอาจารย์คะ



ท่านอาจารย์ ค่ะ ต้อง "เข้าใจ" ธรรมะ เมื่อ "ฟัง" ธรรมะค่ะ

ไม่ใช่เข้าใจคน ที่เป็นเราเหมือนเดิม

แต่มีความเข้าใจขึ้นว่า สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ก็คือ "ธรรมะแต่ละอย่าง" มีจริงๆ "กำลังปรากฏ" ด้วย

คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ ถ้าเช่นนั้น ผู้ฟังไม่ฟังให้เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว มีแต่ลักษณะ

สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะทำให้เข้าใจผิดไปตลอด ในการ

ศึกษาพระธรรม เพราะว่า ไม่ตั้งต้น ให้มีความเห็นถูกก่อน ในการศึกษา

ท่านอาจารย์ ค่ะ การศึกษาต้องตามลำดับ ไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น นะคะ

เพราะฉะนั้น สำหรับคำเทศนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็งามทั้งเบื้องตัน ท่ามกลาง และที่สุด ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ

โดยประการทั้งปวง ให้ผู้ฟังเนี่ยค่ะ รอบรู้จริงๆ

คือ เข้าใจไม่ผิด ว่าขณะนี้ เป็นธรรมะ แต่ละ ลักษณะ

แล้วก็กล่าวถึง สภาพธรรมะแต่ละลักษณะ ละเอียดยิ่งขึ้น โดยสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้ฟัง

มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่าเป็นธรรมะ ซึ่งเป็นอนัตตา ซึ่งถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคง

เดี๋ยวนี้ อะไร? ปรากฏ เป็นอนัตตา แล้วก็เป็นธรรมะแต่ละลักษณะ

ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ

ที่กำลังเป็นจริงอย่างนี้ได้ เป็นปฏิปัตติ แทงตลอด ประจักษ์การเกิด-ดับ ตรงตามที่

ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง ก็คือ ปฏิเวธ สามารถรู้แจ้ง อริยสัจ ๔ เพราะฉะนั้นต้องตามลำดับค่ะ

ถ้าไม่รู้ว่า "ขณะนี้เป็นธรรมะ" ก็เป็น "เรา" ฟังเรื่องราว


คุณอรวรรณ ท่านอาจารย์คะ กำลังจะเรียนถามเรื่องราวพอดีว่า ถึงแม้ในหมู่ผู้ศึกษาแล้ว

เนี่ย เมื่อฟังธรรมะแล้ว ท่านอาจารย์ก็กล่าวหลายๆ ครั้งมากเลยว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา

แต่ความไม่รู้ กับ ความติดข้อง ที่ยึดว่าเป็นเรา ก็ทำให้เป็นเรา มาฟังธรรมะ อย่างที่

ท่านอาจารย์กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่มี "เรามาฟังธรรมะ" ค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ เข้าใจคำว่าธรรมะ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้

คือ ทุกคำ ต้องตามไป แล้วก็พิสูจน์.....ฟังธรรมะ...ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

มีลักษณะต่างกัน หลากหลาย เป็นแต่ละอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

"เสียง" มีจริง ปรากฏ "เป็นธรรมะ"

"กลิ่น" มีจริงๆ นะคะ "เป็นธรรมะ"

"เห็น" มีจริงๆ "เป็นธรรมะ"

"คิด" มีจริงๆ "เป็นธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น ก็จะมีการรู้ว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นธรรมะ ทั้งหมด

แต่ว่า เป็นธรรมะที่หลากหลาย เกิด ปรากฏ แล้วหมดไป ไม่ได้กลับมาอีกเลย

...คิด...คิด...เห็นมั๊ยคะ? คิด แล้ว ก็พูด ตามความคิด เสียง ก็ออกมา ตามจิตที่คิด

แล้วก็หมด....ไม่มีอะไรเหลือเลย...สักอย่างเดียว...

เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป....นี่คือ...ธรรมะ....

...ฟังจนกระทั่ง มีความเข้าใจที่ "มั่นคง" จริงๆ ค่ะ

จึงสามารถที่จะเร่ิม รู้ "ลักษณะ" ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ได้

ไม่ใช่ ใครมาบอกให้สติเกิดบ่อยๆ รู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ ไม่เข้าใจอะไรเลย

แล้วสติจะรู้อะไร? จะระลึก จะรู้อะไร?

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นนะคะ "ปริยัติ" ฟังสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมะ

จนเป็นความ "เข้าใจ" ที่ "มั่นคง" จริงๆ เป็น "สัจจญาณ"

คุณอรวรรณ ดูเหมือนท่านอาจารย์ จะตอกย้ำว่า ต้องฟังให้เป็นความเข้าใจ ที่มั่นคงว่า

ขณะนี้เป็นธรรมะ แล้วเป็นหน้าที่ของสติ ปัญญา

ที่เขาจะรู้ ตรงลักษณะ ว่าเป็นธรรมะอย่างไร

แต่ดูเหมือนว่า ผู้ศึกษาเนี่ย ยังไม่มั่นคง ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ

ก็จะไปข้ามขั้นว่า จะรู้ตรงลักษณะ ที่เป็นธรรมะอย่างไร

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ผิดแล้วไงคะ

คุณอรวรรณ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ต้องฟังว่าเป็นธรรมะ เข้าใจอย่างมั่นคง

ว่า "เป็นธรรมะ"

ท่านอาจารย์ สิ่งที่ลืมไม่ได้นะคะ พระพุทธศาสนา เพื่อละ ค่ะ

ไม่ใช่เพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อเอา แต่ว่า เป็นการละความไม่รู้ และ ละกุศล

จนกระทั่ง ละแม้กุศล เป็นหนทางละโดยตลอด

เพราะว่า เป็นความติดข้องนะคะ ด้วยความไม่รู้ทั้งหมด


...เพราะฉะนั้น เมื่อมีความรู้.....จึงไม่ติดข้อง.....

...ความไม่ติดข้อง.....คือ....การละ...ความติดข้อง........


คุณอรวรรณ เพราะฉะนั้น ในหมู่ผู้ฟัง คือ ต้องฟังให้เข้าใจ อย่างมั่นคงจริงๆ

ว่า ธรรมะ คือ มีลักษณะเฉพาะ แต่ละลักษณะ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล ไม่ใช่เรา

เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็คือ เพื่อละความไม่รู้ ว่า ไม่รู้อะไร?

แต่ไม่ใช่เพื่อ อยากได้อะไร?

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะแล้ว ได้อะไรคะ?

ได้ลาภหรือเปล่า? ได้ยศหรือเปล่า? ได้สรรเสริญหรือเปล่า?

ถ้าได้ ก็ติด ไม่ได้ละ ใช่ไม๊คะ? แต่ไม่ใช่เพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างนั้นค่ะ

"...เพราะไม่รู้ จึงฟัง..."

....แล้วจะฟังใครคะ? บางคนก็ฟังคนโน้นว่า คนนี้ว่า....

แต่ไม่ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง.....แล้วฟังใคร?...

...คนนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

สามารถที่จะให้ "เข้าใจ" สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏหรือเปล่า?....

...............................

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 266

อุทัยสูตร

[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อม

ตกบ่อยๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ แว่น

แคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ ยา

จกย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีก็ให้บ่อยๆ

ทานบดีให้บ่อยๆ แล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์

บ่อยๆ ผู้ต้องการน้ำนม ย่อมรีดนมบ่อยๆ

ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ บุคคลย่อม

ลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ คนเขลาย่อมเข้า

ถึงครรภ์บ่อยๆ สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆ

บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้า

บ่อยๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็

เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้.

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.พ. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และทุกๆ ท่านครับ


 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.พ. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


....แล้วจะฟังใครคะ? บางคนก็ฟังคนโน้นว่า คนนี้ว่า....

แต่ไม่ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง.....แล้วฟังใคร?...

...คนนั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

สามารถที่จะให้ "เข้าใจ" สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏหรือเปล่า?....

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ให้ธรรมะเป็นทาน


ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็

เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้.

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะและความศรัทธาของคุณวันชัยด้วยค่ะ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyut
วันที่ 24 ก.พ. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบอนุโมทนาในความอนุเคราะห์ธรรมทานจากท่านอาจารย์

ขอขอบพระคุณในความเอื้อเฟื้อที่นำเสนอกิจกรรมการกุศลโดยเสมอมาของคุณวันชัย

และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 24 ก.พ. 2554

ขอกราบอนุโมทนาในความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ และคณะท่านอาจารย์วิทยากร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ณ กาลครั้งหนึ่ง และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 24 ก.พ. 2554

.............. สิ่งที่ลืมไม่ได้นะคะ พระพุทธศาสนา เพื่อ ละ ค่ะ เป็นหนทาง ละ โดยตลอด.
.


"...เพราะ ไม่รู้ จึงฟัง..."
.........................ขออนุโมทนา........................

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สุรศักดิ์
วันที่ 24 ก.พ. 2554

ขออนุโมทนาครับ

จำให้ขึ้นใจ ศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ละความไม่รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 25 ก.พ. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Thirachat.P
วันที่ 25 ก.พ. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
icenakub
วันที่ 26 ก.พ. 2554
สาธุ กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
intira2501
วันที่ 26 ก.พ. 2554

กราบอนุโมทนาในความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ และคณะท่านอาจารย์วิทยากร ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ณ กาลครั้งหนึ่ง และทุกๆ ท่านค่ะ ได้มีโอกาสเห็น และอ่าน ฟัง ก็มีความสุขใจแล้วค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pannipa.v
วันที่ 27 ก.พ. 2554

ความเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นเหตุนำสุขมาการแสดงธรรมของสัตบุรุษ เป็นเหตุนำสุขมาความพร้อมเพรียงของหมู่ เป็นเหตุนำสุขมาความเพียรของชนผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นเหตุนำสุขมาจาก....ขุททกนิกาย คาถาธรรมบทขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
พรรณี
วันที่ 27 ก.พ. 2554

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และขออนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการที่บ้านธัมมะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
guy
วันที่ 25 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kinder
วันที่ 5 พ.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ