การกลับชาติมาเกิด

 
cx700
วันที่  29 ต.ค. 2553
หมายเลข  17458
อ่าน  8,141

ถามว่ามันมีจริงไหมครับ ตอนน้าผมตายผมขอให้เขาเกิดมาเป็นลูกพี่สาวผมที่ตอนนี้กำลังมีแฟนอยู่อ่ะครับ ไม่ทราบว่าจะจริงปล่าวครับ เพราะชาวพุทธเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 29 ต.ค. 2553

ตามหลักความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และแสดงแก่สาวกทั้งหลาย ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกมีอยู่ว่า ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อตายไปคือ สิ้นสุดจากความเป็นบุคคลนี้ กรรมย่อมเป็นปัจจัย ให้เกิดขึ้นในภพใหม่ เป็นบุคคลใหม่ การจะเกิดในภพไหน เกิดที่ไหน เกิดเป็นใคร จะมีความสุขความทุกข์อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่ที่กรรมของบุคคลนั้น ที่เคยทำสะสมไว้แต่ชาติบางก่อน อนึ่งบุคคลบางคนในโลกนี้ได้สะสม อบรมเจริญปัญญาจนบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งหมดได้ บุคคลนั้นเมื่อตายจากโลกนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นในภพใหม่อีกเลย

ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มที่กระทู้

เรื่องเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือครับ

เวียนว่ายตายเกิด

เวียนว่ายตายเกิด

สังสารวัฏฏ์และการเวียนว่ายตายเกิด...๑

สังสารวัฏฏ์และการเวียนว่ายตายเกิด...๒

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 ต.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่เป็นผู้มีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการอบรมเจริญปัญญา ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะดับเหตุที่จะทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดำเนินชีวิตอยู่ในขณะนี้ ควรที่จะได้พิจารณาข้อความต่อไปนี้ เพื่อความเป็นผู้มั่นคงในความจริงมากขึ้น ครับ

อรรถกถามุนิสูตร .. ทราบ หรือ ไม่ทราบ อย่างไร มาจากไหน?

คำตอบ คือ ไม่ทราบ (ก่อนที่จะมาเกิดเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร ไม่สามารถจะทราบได้) จะไปไหน?

คำตอบคือ ไม่ทราบ (เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ในภพภูมิใดนั้น ไม่สามารถจะทราบได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผล กล่าวคือ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดาแต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มี นรก เป็นต้น ตามสมควรแก่กรรม) ไม่ทราบหรือ?

คำตอบคือ ทราบ (เกิดมาแล้วทุกคนจะต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกคน ไม่เร็วก็ช้า) ทราบหรือ?

คำตอบคือ ไม่ทราบ (ทราบว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถจะทราบได้ว่าจะตายวันไหน ตอนไหน ตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย หรือ ตอนค่ำ เป็นต้น แต่ที่แน่ๆ คือ ต้องตายอย่างแน่นอน) .

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 29 ต.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Yongyod
วันที่ 29 ต.ค. 2553

กราบขอบคุณ และอนุโมทนา อ prachern.s และ อ khampan.a ครับ

อ่านความเห็น ของ อาจารย์ ผู้มีปัญญาทั้งสอง แล้วทำให้ได้สติ ข้อคิดเกี่ยวกับ การเวียนว่ายตายเวียนเกิดในสังสารวัฏว่า เราจะไปไหน ที่ดี หรือ ไม่ดี ย่อมเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำไว้แล้ว และเคยฟัง อ.สุจินต์ ท่านบรรยายบ่อยเหมือนกัน เกี่ยวกับจิตดวงสุดท้าย ก่อนสิ้นความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะเป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวงใหม่ไปเกิดเป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ทันที เพราะลักษณะของจิต จะเกิดดับสืบต่อเนื่องกันเสมอ ไม่มีที่ว่าจะเป็นดวงวิญญานล่องลอย รอเวลาเกิดไม่ใช่ จิดดวงหนึ่งดับจะเป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวงต่อไปทันที เพราะฉะนั้น คนเราตายแล้วย่อมเกิดใหม่ทันที

สำหรับประเด็นที่ว่า เราจะไปเกิดภพภูมิไหน ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่สั่งสมไว้ในจิตเรามาไม่รู้กี่ร้อยกี่แสนกลัป ที่เวียนว่ายตายเวียนเกิดในสังสารวัฏนี้ ว่ากรรมไหนมีกำลังแรงก็จะนำไปเกิด เราเลือกไม่ได้ด้วย เพราะมันเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ครับ ถ้ากุศลกรรมนำไปเกิด ก็เกิดในสุขคติภูมิ เป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ตามความเข้มข้นของกรรมดีที่เคยกระทำไว้แล้ว แต่ถ้าอกุศลกรรมนำไปเกิด ก็ย่อมต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์เดรฉาน เปรต อสูรกาย เป็นต้น ตามความเข้มข้นของกรรมอีกเหมือนกันครับ และสำหรับกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่นำไปเกิด จะเป็นกรรมที่เราทำไว้ของชาตินี้ ของชาติที่แล้ว หรือของชาติไหนในหลายกัลป์ ในสังสารวัฏฎ์ที่เราผ่านมา ปัญญาของเราก็ไม่อาจจะทราบได้ครับ เรื่องของกรรม ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธองค์ ตรัสว่า เป็นเรื่องอจินไตยครับ

อจินไตย แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึง สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วย ตรรกสามัญของปุถุชน มี ๔ อย่างได้แก่

พึทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ฌาณวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน

กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม

โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลกในทางพระพุทธศาสนา

ไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้น จากการคิดเดาเอาด้วยตรรกเอง จึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญา ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย จากทั้งหมดถ้าได้ศึกษา ก็จะทราบได้ว่า เหตุ ของการเกิด ก็คือ กรรมครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีกรรม เราก็ไม่ต้องมารับวิบากอีกต่อไป ถ้าสาวไปอีกเหตุของกรรมคืออะไร ก็จะทราบว่า เหตุที่ทำกรรมทั้งดีและไม่ดี คือ กิเลสครับ แล้วเรามีกิเลสมาจากได้ไง ศึกษาไปก็จะรู้ว่า เหตุของกิเลส ก็คือ อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ ไม่รู้ที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริงครับ ผลก็คือ ความทุกข์

ในความคิดของผม ถ้าเราได้ศึกษาธรรมะเรื่องกรรมให้ละเอียด คิดว่าทุกคนก็คงจะคลายความกังวลใจไปได้แยอะ เกี่ยวกับตายแล้วฉันจะไปไหน เพราะรู้ที่มาที่ไป รู้ว่าเรื่องกรรมความจริงมันเป็นแบบนี้ เราจะเข้าใจถูก คิดถูก สิ่งที่ตามมาเองก็คือ ทำถูกสมควรแก่ธรรมเองครับ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงแท้แน่เสมอ เพราะนี่เป็นสัจธรรมครับ

สรุป ผมคิดว่า อย่าไปกังวลเรื่องชาติที่แล้ว หรือว่าชาติต่อไปข้างหน้าเลยครับ พิจารณาทุกสิ่งในชาตินี้ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ของเราดีกว่าครับ ปัจจุบันขณะสำคัญที่สุด เพราะเป็นของจริง ที่เราสัมผัสได้ จะไปมั่นหมายอะไรกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว จะได้แก้ไขอดีตก็คงเป็นไปไม่ได้ อนาคตหรือก็ยังมาไม่ถึง จับต้องไม่ได้กังวลไปก็เปล่าประโยชน์เป็นอกุศลธรรมอีกต่างหาก ก็เหมือนที่ ท่าน อ.สุจินต์ มีเมตตาเตือนสติพวกเราบ่อยมาก อย่าหลงลืม พิจารณาให้เห็นความจริงของกาย ใจ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ว่าตามที่มันเป็นจริง แล้วมันเป็นยังไง สั่งสมความเข้าใจปัจจุบันขณะของกายใจนี่แหละครับ เป็นบุญสูงสุด ทำให้ละกิเลสได้ แบบไม่เหลืออีกเลย หมดกิเลส ก็หมดกรรม หมดกรรม ก็ไม่ต้องมารับวิบาก ถึงเป้าหมายสูงสุดคือ ไม่ต้องมาเกิดอีกเลย

อย่างไรก็ดี ตามจริงผมคิดว่า ผม และทุกท่านอีกหลายคนก็คงไม่หมดกิเลสหมดกรรม จนไม่ต้องมาเกิดใหม่อีก ดังนั้น ชาติหน้าของพวกเราย่อมมีแน่ ตราบที่ยังคงไม่เป็นพระอรหัตกัน จึงไม่ควรประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะขึ้นชื่อว่า กรรมย่อมให้ผลอย่างยุติธรรมที่สุด ไม่ว่าจะได้รับวิบากดี หรือไม่ดีตามกรรม ด้วยปัญญาอันน้อยนิดในเรื่องกรรม

ผมจึงขออธิษฐานให้ทุกท่าน และผมด้วย ได้มีโอกาสที่จะเจริญกุศลให้ได้มากที่สุดในทุกโอกาสเลยครับ ตราบใดที่เรายังคงต้องเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏนี้

ขอให้ทุกท่านจงเจริญในกุศลธรรม และมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Nongnuch
วันที่ 30 ต.ค. 2553

Anumotana ka.

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pamali
วันที่ 1 พ.ย. 2553
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ คุณยงยศ ค่ะ ..สาธุ สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผิน
วันที่ 1 พ.ย. 2553
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 1 พ.ย. 2553

ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์ ก็ยังจะต้องมีเหตุให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เกิดเป็นเปรต เกิดในนรก หรือแม้แต่เกิดในสวรรค์ เพราะฉะนั้นไม่ควรประมาทอบรมเจริญปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
BOONKMH
วันที่ 3 พ.ย. 2553

เรื่องการกลับชาติมาเกิด เป็นนั่น เป็นนี่ มิใช่เรื่องที่เราขอได้นะ เรื่องนี้เป็นไปตามหลักของกรรม คือถ้าเราเชื่อว่า คนเรามีกรรมเป็นของตนเอง ทุกๆ คนแล้วไซร้เรื่อง กลับชาติมาเกิดใหม่ ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ แต่ตามหลักความเชื่อของชาวพุทธแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนว่า ควรเชื่อตามหลักความเชื่อ ๔ อย่าง คือ

๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม

๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม

๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าคนทำกรรมแล้วต้องได้รับผล

๔. คถาคตโพธิสัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต

แต่ถ้าเราอยากเกิดเป็นโน่นเป็นนี่ เราทำได้นะ ให้สั่งสมบุญไว้มากๆ แล้วก็อธิษฐานเอาเอง แต่มิใช่ว่า ขอให้คนอื่นเป็นโน่นเป็นนี่นะได้นะ

ขอเจริญพร และอนุโมทนา
BOON_KMH มุกดาหาร

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 12 พ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ