ระลึกเนืองๆบ่อยๆ

 
pirmsombat
วันที่  3 ก.ย. 2553
หมายเลข  17097
อ่าน  1,349

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ผู้ฟัง ขอเรียนถามท่านอาจารย์ครับ ถ้าขณะที่สติระลึกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นการแสดงว่า ถ่ายถอน อัตตสัญญา ออกไปที่ละเล็ก ทีละน้อย ใช่ไหม

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ระลึก ไม่มีโอกาสที่จะศึกษาให้เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นตามความเป็นจริง แต่ขณะที่กำลังระลึกนี้ ขึ้นอยู่กับปัญญา ว่าปัญญาสามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นถูกต้องหรือยัง เพราะว่าถ้าเป็นผู้ที่เรี่มอบรมเจริญปัญญาจริงๆ สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม แต่เมื่อยังไม่ได้ศึกษา ความต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมขณะนั้น จะกล่าวไม่ได้ว่าสามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมว่าไม่ใช่ตัวตน เพราะว่ามักจะมีความคิดเกิดขึ้นแทรก ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วภายหลังระลึก รู้ลักษณะของสภาพธรรมอีก แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ชัดว่านามธรรมต่างกับรูปธรรมจนกว่าจะระลึกเนืองๆ บ่อยๆ แล้วก็พิจารณาเพี่มขึ้น แล้วบุคคลนั้นเองจะเป็นผู้รู้เองว่า ปัญญาค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพี่มขึ้นหรือว่ายัง ถ้ายังก็ระลึกอีกเนืองๆ บ่อยๆ เพราะว่าเป็นหนทางเดียวในเมื่อสภาพธรรมก็มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏด้วย แต่เมี่อสติเพี่งเรี่มระลึก ปัญญายังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ทันที ต้องอาศัยการฟัง การเข้าใจ จากการฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม จนเมี่อสติระลึกอีก ก็มีปัญญา ซึ่งเข้าใจเรื่องงของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้นอีกนั้น เป็นเหตุที่สามารถจะเข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรมที่สติกำลังระลึกได้ ค่อยๆ เพี่มขึ้น โดยอาศัยการฟัง การเข้าใจและเมี่อสติระลึก เพราะเข้าใจแล้ว ก็สามารถจะพิจารณาได้ถูกต้องว่า ลักษณะใดเป็นสภาพนามธรรม สภาพใดเป็นรูปธรรม

ผู้ฟัง แสดงว่าปัญญาขั้นต้นนี่

ท่านอาจารย์ ชัดไม่ได้ ชัดได้ก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์กันแล้ว

ผู้ฟัง ค่อยๆ เพี่มขึ้น

ท่านอาจารย์ โดยผู้นั้นเอง เป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง ถ้ายังสงสัย ความสงสัยก็มีจริงๆ ถ้าค่อยๆ รู้ แล้วก็สงสัยอีก เพราะว่าระลึกแล้วรู้นิดเดียว แล้วก็หมดไปอีก และอวิชชาก็เกิดมากมาย โลภะบ้าง โทสะบ้าง ในวันหนึ่งๆ พอสติเรี่ม ระลึกใหม่ ความรู้เดิมก็ไม่พอที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้น เป็นนามธรรมและรูปธรรรม ด้วยเหตุนี้ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา จึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่เป็นเรื่องเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นว่า แม้สติก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นและ ปัญญาที่จะรู้มากหรือรู้น้อย ก็จะต้องอาศัยเหตุปัจจัยด้วยถ้าเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังน้อย ไม่รู้เรื่องนามธรรมและรูปธรรม แล้วก็บอกให้สติระลึก ไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของ นามธรรม หรือ รูปธรรม ในขณะนั้นว่าไม่ใช่ ตัวตน สัตว์ บุคคล เพราะว่าการฟังน้อย ความเข้าใจน้อย

ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑แล้ว ที่อ่านจากหนังสือท่านอาจารย์ก็บอกว่าแม้ประจักษ์ขั้น ๑ แล้ว โลกก็ยังรวมกันอีก

ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ปํญญาขั้นต้น แต่เป็นผลของการอบรมเจริญจนกระทั่งถึงพร้อมในขณะที่ปัญญาแทงตลอด ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏโดยไม่มีสภาพธรรมอื่นปะปน ทีละอย่าง เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีโลก ที่รวมกันปรากฏเหมือนในขณะนี้ แต่แม้กระนั้น ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็น สมุจเฉท เพราะว่าเป็นเพียงวิปัสสนาญาณขั้นต้น เป็นตรุณวิปัสสนา

ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณ

ท่านอาจารย์ เรื่องธรรมเป็นเรื่องจริง และ ทุกท่านก็พิสูจน์ได้ และสามารถที่ จะรู้ปัญญาของตนเองได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
h_peijen
วันที่ 4 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 4 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
hadezz
วันที่ 5 ก.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
อินทิรา
วันที่ 5 ก.ย. 2553

ขอขอบคุณ และ อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คุณ
วันที่ 6 ก.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pamali
วันที่ 1 ต.ค. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sensory
วันที่ 2 ต.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ