ขันธ์ ๕ เปรียบด้วยฟองน้ำเป็นต้น [เผณปิณฑสูตร]

 
JANYAPINPARD
วันที่  11 ส.ค. 2553
หมายเลข  16899
อ่าน  3,800

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 316

๓. เผณปิณฑสูตร

ว่าด้วยขันธ์ ๕ เปรียบด้วยฟองน้ำเป็นต้น

[๒๔๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่ฝั่งแม่น้ำคงคาเมืองอโยธยา. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้ พัดพาเอาฟองน้ำก้อนใหญ่มา บุรุษผู้มีตาดี จะพึงเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคายซึ่งฟองน้ำจำนวนมากนั้น เมื่อเขาเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคายฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า หาสาระมิได้เลยสาระในฟองน้ำนั้น จะพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต เป็นอนาคต และปัจจุบัน ฯลฯหรืออยู่ที่ไกลที่ใกล้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุเพ่งพินิจพิจารณาดูรูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย รูปนั้นก็จะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในรูป จะพึงมีได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย.

[๒๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกอยู่ในสรทสมัยต่อมน้ำจะเกิดขึ้นและดับไปในน้ำ บุรุษผู้มีตาดี จะพึงเพ่งพิจารณาดูต่อมน้ำนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพ่งพิจารณาดูโดยแยบคาย ต่อมน้ำนั้นก็จะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า หาสาระมิได้เลย สาระในต่อมน้ำจะพึงมีได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ หรืออยู่ในที่ไกลที่ใกล้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุเพ่งพินิจพิจารณาดูเวทนานั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย เวทนานั้นจะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า เป็นของหาสาระมิได้เลย สาระในเวทนา จะพึงมีได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ส.ค. 2553

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 317


[๒๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูคิมหันต์ ดำรงอยู่แล้ว ในเวลาเที่ยง พะยับแดดเต้นระยิบระยับ บุรุษผู้มีตาดี พึงเพ่งพินิจพิจารณาดูพะยับแดดนั้นโดยแยบคาย เมื่อเขาเพ่งพินิจพิจารณาดู โดยแยบคาย พะยับแดดนั้นจะปรากฏเป็นของว่างทีเดียว ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาระในพะยับแดด จะพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.

[๒๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยแก่นไม้เสาะหาแก่นไม้ เที่ยวแสวงหาแก่นไม้ ถือเอาผึ่งที่คมเข้าไปป่า เขามองเห็นต้นกล้วยใหญ่ ลำต้นตรง ยังใหม่ ยังไม่เกิดหยวกแข็ง ในป่านั้นเขาพึงตัดต้นกล้วยนั้นที่โคน ครั้นตัดโคนแล้ว ก็ทอนปลาย ครั้นทอนปลายแล้ว ก็ลอกกาบออก เมื่อลอกกาบกล้วยนั้นออก แม้แต่กระพี้เขาก็จะไม่ได้ในต้นกล้วยนั้น จะได้แก่นมาแต่ไหน ? บุรุษผู้มีตาดีคงเพ่งพินิจพิจารณาดูต้นกล้วยนั้นโดยแยบคาย เมื่อเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย ต้นกล้วยก็จะปรากฏว่าเป็นของว่าง เป็นของเปล่าไม่มีแก่นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แก่นในต้นกล้วยนั้น จะมีได้อย่างไรฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน หรือที่มีอยู่ในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุ เพ่งพินิจพิจารณาดู สังขารนั้นโดยแยบคายเมื่อเธอเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย สังขารนั้นจะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า หาสาระมิได้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาระในสังขารทั้งหลาย จะพึงมีได้อย่างไร ? [๒๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกล หรือลูกมือของนักเล่นกลแสดงมายากลที่สี่แยก บุรุษมีตาดี พึงเพ่งพินิจพิจารณาดูมายากลนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ส.ค. 2553

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 318

โดยแยบคาย เมื่อเขาเพ่งพินิจพิจารณาดูโดยแยบคาย มายากล ก็จะ

ปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า ไม่จริงเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ความจริง (สาระ) ในมายากล จักมีได้อย่างไร ฉันใด. ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต

ทั้งที่เป็นปัจจุบัน ฯลฯ หรืออยู่ในที่ไกลที่ใกล้ ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล

ภิกษุเพ่งพินิจพิจารณาดูวิญญาณนั้นโดยแยบคาย เมื่อเธอเพ่งพินิจ

พิจารณาดูโดยแยบคาย วิญญาณก็จะปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า

หาสาระมิได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้

จะเบื่อหน่ายในรูปบ้าง ในเวทนาบ้าง ในสัญญาบ้าง ในสังขารทั้งหลาย

บ้าง ในวิญญาณบ้าง เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด

จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า เราหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า

ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสเวยยากรณพจน์

แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

[๒๔๗ ] พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์

ทรงแสดงรูป อุปมาด้วยฟองน้ำ เวทนา อุปมา

ด้วยต่อมน้ำ สัญญาอุปมาด้วยพะยับแดด สังขาร

อุปมาด้วยต้นกล้วย และวิญญาณอุปมาด้วย

มายากล. ภิกษุเพ่งพินิจพิจารณา (เบญจขันธ์) อยู่

โดยแยบคาย ด้วยประการใดๆ เบญจขันธ์ย่อม

ปรากฏเป็นของว่าง เป็นของเปล่า ด้วยประการ

นั้นๆ แก่เธอผู้เห็นอยู่โดยแยบคาย ก็การละ

ธรรม ๓ อย่าง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงมี

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ส.ค. 2553

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 319

ปัญญาเสมอแผ่นดิน ทรงปรารภกายนี้แล้ว

แสดงไว้ เธอทั้งหลาย จงดูรูปที่เขาทิ้งแล้วเถิด.

อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละกายนี้ไปเมื่อใด เมื่อ

นั้นกายนี้จะถูกเขาทอดทิ้ง นอนอยู่ ไม่มีจิตใจ

เป็นเหยื่อของสัตว์. การสืบเนื่องกันนี้เป็นเช่นนี้

นี้เป็นมายากล ที่คนโง่พร่ำเพ้อถึง ขันธ์ เรา

ตถาคตกล่าวว่า เป็นเพชฌฆาต ตนหนึ่ง สาระใน

เบญจขันธ์นี้ไม่มี ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว

มีสติ สัมปชัญญะ พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลาย

อย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน. ภิกษุเมื่อ

ปรารถนา อจุติบท (นิพพาน) พึงละสังโยชน์

ทั้งปวง ทำที่พึ่งแก่ตน ประพฤติดุจบุคคลผู้มี

ไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น ดังนี้.

จบ เผณปิณฑสูตรที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ruttikarn
วันที่ 14 ส.ค. 2553

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chulalak
วันที่ 13 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 22 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ