เราด้วยทิฏฐิ...เราด้วยมานะ...

 
เมตตา
วันที่  6 ม.ค. 2553
หมายเลข  15003
อ่าน  1,572

เพราะความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม จึงมีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นของเรา หรือเป็นตัวเรา จากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้รู้ความจรืงว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ก็ไม่มีสภาพธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อมีสภาพธรรมก็ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล สิ่งของต่างๆ แน่นอน มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ซึ่งก็คือขณะนี้ ได้เห็น ได้ยิน ... และคิดนึก

แต่เพราะความเห็นผิดจากความจริง จึงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา (สักกายทิฏฐิ) ยึดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เมื่อได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจความจริง ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจนกว่าจะบรรลุเป็นพระโสดาบัน หมดความสงสัยในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง (ดับสักกายทิฏฐิ) เมื่อดับสักกายทิฏฐิแล้ว ความเห็นผิดคือ ทิฏฐิทั้งหมดย่อมไม่มีอีกต่อไป ไม่มีเราด้วยทิฏฐิ แต่พระโสดาบันยังคงมีเราด้วยมานะ ความสำคัญตน ความยึดถือว่าเราดีกว่า เราเสมอเขา เราด้อยกว่าเขา ซึ่งการดับมานะได้ ต้องอบรมเจริญต่อไป จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์จึงดับมานะได้เป็นสมุจเฉท

สภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปเป็นเราหรือไม่ใช่เรา

ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Charlie
วันที่ 6 ม.ค. 2553

สภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปเป็นเราหรือไม่ใช่เรา?

ไม่ใช่เรา แต่ว่า ตามที่ท่านอาจารย์มักจะกล่าวอยู่เสมอว่าการละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับ เช่น เราไม่สามารถละโลภะทั้งหมดได้ในคราวเดียวกันโลภะที่ควรจะละได้ก่อน คือ โลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิดเมื่อเทียบเคียงกับคำสอนของท่านอาจารย์แล้ว ผมเห็นว่า เราไม่สามารถละความเป็นเราทั้งหมดได้ในคราวเดียวกันความเป็นเราที่ควรจะละได้ก่อน คือ ความเป็นเราที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ส่วนความเป็นเราที่เหลือนั้น จะดับเป็นสมุจเฉทได้ด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้นดังนี้ ใช่หรือไม่

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 6 ม.ค. 2553

สภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปเป็นเราหรือไม่ใช่เรา?

ท่านพระโสดาบันไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่ยังมีความสำคัญตนว่า เราดีกว่า เราเสมอเขา เราด้อยกว่าเขา ซึ่ง "เรา" ในที่นี้ไม่ใช่ว่าท่านยังมีความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นเรา เช่น มือของเรา เราเห็น เราได้ยิน ความสุขก็เป็นเราสุข เป็นต้น สำหรับเราด้วยมานะ นั้น ขอยกตัวอย่างเช่นว่าท่านพระโสดาบันยังมีความสำคัญตนว่าท่านยังไม่ได้เป็นพระสกทาคามี คุณธรรมท่านด้อยกว่าพระสกทาคามี เป็นต้น

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nida
วันที่ 7 ม.ค. 2553

คิดนึก มันเป็นเอง หรือ เราเองเป็นเอง ความโกรธ มันเป็นเอง หรือ เราเป็นเอง กายเคลื่อนไหว มันเป็นเอง หรือ เราเป็นเอง ถ้ามันเป็นเองแล้ว จะเป็นเราได้ไหม ใช่เราหรือเปล่า กุศลและอกุศลเสมอภาพเท่ากันเพราะอะไร

เพราะมีเกิดแล้วจะต้องดับไปเหมือนกัน จึงไม่มีเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ มีแต่ธรรมหนึ่งที่เป็นกลาง ไม่เอากุศลและอกุศลมาเป็นสาระเพราะเป็นทุกข์เหมือนกัน สิ่งที่ละวางยากที่สุด คือสิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุด ก็คือใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Charlie
วันที่ 7 ม.ค. 2553

สหายธรรมท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นเรื่อง สักกายทิฏฐิ กับ มานะ ไว้ดังนี้

ก่อนที่พระศาสดาจะทรงอุบัติ ผู้ที่เชื่อในกฏแห่งกรรม ล้วนเชื่อว่า มีอัตตาที่กระทำบุญและบาป มีอัตตาที่ตามไปเสวยผลแห่งกรรม ในภพต่างๆ (ในที่นี้ ไม่กล่าวถึง อัตตาในลัทธิอุจเฉททิฏฐิ ซึ่งเชื่อว่า ตายแล้วสูญ)

อัตตาคืออะไร ตัวอย่างเช่น ก่อนพุทธกาล อาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นว่า มี อาตมัน (หรืออัตตา) เข้าไปเสวยฌานสุข และหลังจากตายไปแล้ว อาตมันนี้ จะไปอยู่ร่วมกับพระพรหม

ในหนังญี่ปุ่น ที่มีวิญญาณคนตาย ลอยเป็นลูกไฟเล็กๆ ในหนังผีไทย ก็เช่นแม่นาคพระโขนง ฝรั่งก็มีคำสอนเรื่องพระเป็นเจ้าทรงประทานวิญญาณบริสุทธิ์แก่มนุษย์กล่าวโดยสรุป อัตตา คือ อะไรอย่างนึง ที่เป็นอยู่ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการเกิดขึ้น และแม้ว่าร่างกายจะเน่าเปื่อยไปแล้ว อัตตานี้ ก็ไม่แตกดับ (แต่ตอนที่ยังไม่ตาย อัตตา (หรือวิญญาณ) นี้ อาศัยอยู่ในร่างกาย) และอัตตานี้แหละ ที่ดำรงความเป็นบุคคลเอาไว้ เช่นอัตตาไหนทำดี อัตตานั้น นั่นแหละที่จะได้รับวิบากดี (ในภพนี้ ภพหน้า ภพต่อๆ ไป)

พระศาสดาทรงปฏิเสธ อัตตาดังกล่าว ว่าไม่มีอยู่จริง โดยตรัสว่า อนัตตาอัน ตัวเรา ที่ผมยึดถืออยู่นี้ ประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (หรือ ธาตุ/อายตนะ/ปฏิจจสมุปปาท ...) แต่ละส่วน ล้วน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ ไม่ใช่อัตตาในเมื่อแต่ละส่วน ต่างก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ ไม่ใช่อัตตา แล้วแม้ว่าขันธ์ทั้ง ๕ จะมาประชุมรวมกัน ทำกิจหน้าที่กันไป ก็ไม่ได้เกิดผลพิเศษคือไม่ได้เกิดมี อัตตา ขึ้นมาจากการที่ขันธ์เหล่านั้นมาประชุมรวมกันนั้นเลย

พระโสดาบัน ท่านเจริญสติปัฏฐาน วิปัสสนาญาณเกิด ย่อมทราบชัดว่านี้นาม นี้รูป นี้ปัจจัยแห่งนาม / รูป นี้ความดับแห่งนาม / รูป นามและรูป ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นอนัตตา ซึ่งเมื่อได้ประจักษ์เช่นนี้แล้วสักกายทิฏฐิ ก็ดับ ความเห็นผิด อย่าง ฮินดู อย่างญี่ปุ่น อย่างไทย อย่างฝรั่ง ดังกล่าวก็ดับเป็นสมุจเฉท

ท่านทราบชัดว่า ไม่มีสังขารธรรมอะไร ที่เที่ยงแท้ ไม่มีสังขารธรรมอะไร ที่จะเกิด และดำรงอยู่ได้เอง โดยปราศปัจจัยปรุงแต่งจึงไม่มีอะไรที่จะถือได้ว่า เป็นอัตตา คงที่ เที่ยงแท้สังขารธรรม ล้วนเกิดแต่ปัจจัย เมื่อปัจจัยดับ ผลย่อมดับ (ถ้าเช่นนั้น ไม่มีใครทำกรรม ไม่มีใครเสวยผลแห่งกรรม สิ ปัญหาข้อนี้ อยู่นอกประเด็นของคำถามนี้)

แม้ว่า ท่านจะสิ้นความเห็นผิดว่ามีอัตตา ในขันธ์ ๕ แล้ว (อัตตวาทุปาทาน / สักกายทิฏฐิ) แต่ ทั้งๆ ที่รู้ ว่า ขันธ์ทั้งปวงไม่เที่ยง แต่ว่า ความรัก ความอาลัย ในขันธ์ ๕ ก็ยังมีอยู่ในพระโสดาบัน ... พระอนาคามี

ผมขอกล่าวถึงพระอนาคามีเลยนะครับ พระอนาคามี ยังยินดีในขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ หรือ ประกอบด้วย สมถะและวิปัสสนาอยู่ ยังยึดมั่นว่า มีเราที่ประกอบด้วย ศีลาทิคุณ นั้นๆ ยังเปรียบเทียบ กระแสแห่งนามรูป เหล่านั้น กับกระแสแห่งนามรูปอื่นๆ อยู่ว่าเรา ดีกว่า เขา

และยังเปรียบเทียบว่า เรา ในปัจจุบัน ดีกว่า เรา ในอดีต (ชั้น สกทาคามี) และยังเปรียบเทียบว่า เรา ในปัจจุบัน ด้อยกว่า ความสิ้นความเป็นเราในอนาคตยังมีเราที่ฟังพระสัทธรรม (+ เราเห็น เราได้ยิน ฯลฯ) ยังมีเราที่เจริญสมถะประการต่างๆ รวมไปถึง ยังมีเราที่เจริญสติปัฏฐานด้วย (ขณะนั้น ท่านหลงลืมสติ)

เรา ในที่นี้ไม่ใช่ความเห็นผิดว่า มี อัตตา เป็นดวงๆ คงที่ เที่ยงแท้แต่ เรา คือ กระแสแห่งนามรูปที่เกิดดับ เป็นไปพร้อมกับ สมถะและวิปัสสนาและเหตุที่ท่านยังมีเรา ก็เพราะท่านยังมี ความอาวรณ์ในกุศลธรรม

(แล้วในปุถุชน เรา หมายถึงอะไร ปัญหาข้อนี้ อยู่นอกประเด็นของคำถามนี้)

ผมขอยกตัวอย่างพระสูตร ซึ่ง แสดงว่า พระอนาคามี ยังละความเป็นเราไม่ได้

ดังต่อไปนี้ใน เขมกสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ข้อ 225 หน้าที่ 290

ท่านพระเขมกเถระ ซึ่งเป็นพระอนาคามี กล่าวไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์ผมไม่ได้พิจารณาเห็นอะไรๆ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตาและผมก็ไม่ได้เป็นพระอรหันตขีณาสพ แต่ผมเข้าใจว่า เรามีในอุปาทานขันธ์ ๕

และอีกตัวอย่างนึง ที่แสดงว่า การละสักกายทิฏฐิ นั้น ต่างไปจากการละ มานานุสัย คือ ใน ปุณณมสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ข้อ 182 หน้าที่ 235

ด้วยเหตุดังกล่าว ผมจึงเห็นว่าแม้พระโสดาบัน จะดับสักกายทิฏฐิ/อัตตวาทุปาทานได้แล้ว ความเป็นเรา ของพระโสดาบันก็ยังไม่ได้ดับไปด้วยอนึ่ง ความเป็นเรา (มานานุสัย) จะดับเป็นสมุจเฉทได้ด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้น

สำหรับความเห็นที่ 2 ของพี่เมตตานั้น ผม (สหายธรรมท่านนั้น) ขอแสดงความเห็นแย้งว่าในบางครั้งบางคราว พระโสดาบัน พระสกทาคามี และ พระอนาคามี ที่ท่านหลงลืมสติ ท่านก็ยังมีความเป็นเราอยู่ เช่น เราฟังพระสัทธรรม (เราได้ยิน) เราอ่านพระสูตร (เราเห็น) เราเจริญกุศล ฯลฯทั้งนี้ ผมขออ้าง เขมกสูตร ข้างต้น ในพระสูตรนั้นมีคำกล่าวของท่านพระเขมกเถระ ซึ่งเป็นพระอนาคามี (ในขณะที่กล่าว) ว่า

ผมไม่ได้พิจารณาเห็นอะไรๆ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตา และผมก็ไม่ได้เป็นพระอรหันตขีณาสพ แต่ผมเข้าใจว่า เรามีในอุปาทานขันธ์ ๕ ....

สิ่งที่พระอริยะดับได้เด็ดขาด คือ ความเป็นเรา ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ไม่ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่งนั่นคือ ความเป็นเราที่เป็นอาตมัน / อัตตา (แบบฮินดู ญี่ปุ่น ไทย ฝรั่ง ดังกล่าว) หรือจะเรียกว่า ความเป็นเราที่ประกอบด้วยความเห็นผิดก็ได้

ความเห็นดังกล่าว จะมีข้อบกพร่องประการใด ขอพี่เมตตาและสหายธรรม โปรดให้ความอนุเคราะห์ชี้แจงด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 7 ม.ค. 2553

แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสว่า "เราตถาคต" ก็เป็นที่เข้าใจแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่มีกิเลสใดๆ เหลืออยู่เลย เป็นแต่คำที่ใช้เรียกแทนสภาพธรรมเท่านั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ไม่มีคำสอนในศาสนาใดๆ ที่จะสอนให้ประพถติปฏิบัติแล้วจะพ้นจากทุกข์ได้นอกจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น เมื่อได้อบรมเจริญปัญญาก็จะสามารถรู้ความจริงสิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฏได้ ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสเป็นลำดับขั้น จนกว่ากิเลสถูกประหานจนหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท การอบรมเหตุถูกต้องผลย่อมถูกต้อง

เพราะฉะนั้น พี่ไม่คิดที่จะศึกษาศาสนาอื่นใด หรือคำสอนของใคร นอกจากพระธรรมคำสอนขององศสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ตั้งใจฟังและพิจารณาด้วยความเคารพในสิ่งที่ได้ฟัง อย่าคิดเอง และเท่าที่พี่ได้แสดงความเข้าใจในกระทู้สนทนา และในความคิดเห็นที่ 2 ก็ชัดเจนอยู่แล้วค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 8 ม.ค. 2553

เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่เราจะเข้าใจทุกคำ ทุกประโยคในพระไตรปิฎกได้โดยละเอียดแม้แต่เรื่องคุณธรรมและกิเลสของพระอริยเจ้าที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์นั้น เราฟัง ศึกษา เพื่อจะรู้ตามที่ทรงแสดงในขั้นเรื่องราวได้ ว่าพระอริยบุคคลในแต่ละขั้นแตกต่างกันอย่างไร ดับหรือยังไม่ได้ดับกิเลสอะไร แต่ปุถุชนอย่างเราไม่มีทางที่จะรู้สภาพนามธรรมของความเป็นพระอริยเจ้า ว่าท่านเป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ หรือไม่ จนกว่าผู้นั้นจะถึงความเป็นอย่างนั้นด้วย ด้วยปัญญาที่ถึงพร้อมและประจักษ์แจ้งอริยสัจธรรมจริงๆ ซึ่งแม้พยัญชนะจะทรงแสดงไว้อย่างนั้น แต่เราไม่ควรลืมว่าพระสูตรนั้นลึกซึ้งโดยอรรถ และการศึกษาพระสูตร ก็ควรจะระวังไม่ให้เป็นไปกับมิจฉาทิฏฐิ ไม่ยึดติดที่พยัญชนะเกินไปเพราะอาจจะทำให้เราตีความผิดไปเองก็ได้ หรือแม้ว่าจะตีความได้ถูกต้องแล้ว แต่ก็อาจจะยังมีนัยยะที่เราคิดไม่ถึง เพราะปัญญาขั้นฟังของเราเข้าไม่ถึง จึงควรจะมีการสอบถาม ตรวจทาน เทียบเคียง พิจารณาให้สอดคล้องกับพระอภิธรรม รวมทั้งพระธรรมในส่วนอื่นๆ ด้วย

อย่างไรก็ดี ประโยชน์จริงๆ คือ เพื่อให้เกิดความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ว่าเราจะได้ศึกษาจากส่วนใดของพระไตรปิฎกก็ตามครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 8 ม.ค. 2553

ขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏ?

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Sea
วันที่ 16 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ