ได้ยินแล้วคิด

 
Khaeota
วันที่  1 ม.ค. 2553
หมายเลข  14960
อ่าน  1,443

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ได้ยินท่าน อ. สุจินต์ เคยแสดง "วันคืนล่วงไปๆ แล้วจะทำ หรือวันคืนล่วงไปๆ แล้วจะเข้าใจขึ้นๆ " ได้ยินแล้วคิด "จะทำ" ทำอะไร "จะเข้าใจขึ้น" เข้าใจอะไร

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 2 ม.ค. 2553

ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ไม่คิดถึงอดีต หรืออนาคต ให้อยู่กับปัจจุบัน คือขณะที่สติปัฏฐานเกิด เป็นสิ่งทีประเสริฐที่สุดในชีวิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 2 ม.ค. 2553


"วันคืนล่วงไปๆ แล้วจะทำ หรือวันคืนล่วงไปๆ แล้วจะเข้าใจขึ้นๆ " ได้ยินแล้วคิด "จะทำ" ทำอะไร ถ้าจะทำ ก็ปิดกั้นการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะเป็นตัวตนที่จะทำ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้" จะเข้าใจขึ้น" เข้าใจอะไร ถ้าเข้าใจขื้นๆ ก็เป็นปัญญาที่ค่อยๆ อบรมขึ้นๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อมีความเข้าใจขึ้นๆ สักวันหนึ่ง ปัญญาย่อมเกิดขึ้นระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

ขออนุโมทนาพี่แก้วตาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 ม.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

"วันคืนล่วงไปๆ แล้วจะทำหรือวันคืนล่วงไปๆ แล้วจะเข้าใจขึ้นๆ "

ควรเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ดังนั้นธรรมจึงทำหน้าที่ ทำหน้าที่เห็น ไม่ใช่เราเห็น ธรรมทำหน้าทีได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน ทำหน้าที่เข้าใจ ไม่ใช่เราเข้าใจ การเห็น การได้ยินและสภาพธรรมทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้เกิดได้ จึงไม่มีเราที่จะทำ ไม่มีเราที่จะเข้าใจด้วย เพราะความยึดถือในตัวตนมาก เมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยก็จะทำ เช่น ทำความดี ทำสติ ทำไม่ได้ หากไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำเพราะยังไม่มีความเข้าใจ (ปัญญา) ที่เริ่มจากการฟัง เมื่อไม่มีปัญญาก็ไม่มีเหตุให้สติเกิด ไม่มีเหตุให้ความดีหรือกุศลประการต่างๆ เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อวันคืนล่วงไปๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นโดยอาศัยเหตุจากการฟังพระธรรม เมื่อค่อยๆ เข้าใจ ธรรมก็ทำหน้าที่เองปรุงแต่งให้กุศลประการต่างๆ เจริญขึ้น และค่อยๆ เข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา จะทำก็เพราะความต้องการ ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมก็ค่อยๆ เข้าใจโดยอาศัยการฟังพระธรรมครับ เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 3 ม.ค. 2553

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 158

บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่

บทว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ ความว่า คืนวันล่วงไป เปลี่ยนแปลงไป เราเป็นอย่างไร คือเรากำลังทำวัตรปฏิบัติอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ ท่องบ่นพระพุทธวจนะอยู่หรือๆ ว่าไม่ท่องบ่น กำลังทำกิจกรรมในโยนิโสมนสิการอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ความไม่ประมาท ย่อมบริบูรณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 3 ม.ค. 2553

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒-หน้าที่ 64

บาทพระคาถาว่า อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย ความว่า กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เมื่อระลึกถึงโอวาทนี้ว่า "บรรพชิต พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่" ดังนี้แล้ว ก็พึงแลดูกิจที่ทำแล้ว และยังมิได้ทำของตนอย่างนั้นว่า "เราไม่อาจจะยกตนขึ้นสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เกษมจากโยคะหรือหนอ"

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 4 ม.ค. 2553

"ได้ยินแล้วคิด "จะทำ" ทำอะไร "จะเข้าใจขึ้น" เข้าใจอะไร"

ขอตอบตรงๆ จากใจว่า ทุกวันนี้ เมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม ก็คิดแต่จะฟังธรรม และพิจารณาธรรมที่ได้ยิน ได้ฟังมานั้น บ่อยๆ เนืองๆ ครับ เข้าใจ ก็รู้ว่าเข้าใจ ไม่เข้าใจ ก็คงมีสักวันที่เข้าใจ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
narong.p
วันที่ 5 ม.ค. 2553


ขออนุโมทนา

"จะทำ" ทำอะไร ถ้าจะทำ ก็ปิดกั้นการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เพราะเป็นตัวตนที่จะทำ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้

"จะเข้าใจขึ้น" เข้าใจอะไร ถ้าเข้าใจขื้นๆ ก็เป็นปัญญาที่ค่อยๆ อบรมขึ้นๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อมีความเข้าใจขึ้นๆ สักวันหนึ่งปัญญาย่อมเกิดขึ้นระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง อ่านแล้วก็เข้าใจขึ้นๆ ทีละน้อย สะสมต่อไปๆ ๆ ๆ มั่นคงในความไม่มีเรา และเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราที่จะทำ แต่เป็นปัญญาที่เข้าใจ ความเข้าใจก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้โสภณธรรมเกิดขึ้นเนืองๆ อดทนที่จะศึกษาและสะสมปัญญาต่อไปๆ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 5 ม.ค. 2553

ไม่มีตัวตนที่จะทำ นอกจากอบรมเจริญปัญญา ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็น ธรรมะ และเป็น อนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 5 ม.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"วันคืนล่วงไปๆ แล้วจะทำ หรือวันคืนล่วงไปๆ แล้วจะเข้าใจขึ้นๆ "

"วันคืน ล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่" เป็นคำเตือนที่ดีเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเอง ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมแล้ว กล่าวได้ว่าวันหนึ่งๆ ที่ผ่านไป ย่อมเต็มไปด้วยความติดข้องยินดีพอใจ เต็มไปด้วยความโกรธความผูกโกรธ เต็มไปด้วยอวิชชาซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ (รวมทั้งอกุศลธรรมประการอื่นๆ ด้วย) และไม่รู้จักหนทางที่จะนำไปสู่ความเป็นผู้เบาบางจากอกุศลธรรมเหล่านั้นได้ นับวันอกุศลธรรมมีแต่จะหนาแน่นพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ อกุศลธรรมให้ผลเป็นทุกข์ นำมาซึ่งความเดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าไม่เป็นประโยชน์แก่ใครๆ เลย ควรหรือไม่ที่จะเป็นผู้อยู่ด้วยความประมาทประกอบแต่อกุศลกรรม โดยที่ไม่ได้อบรมเจริญคุณงามความดีเลย ดังนั้น ในแต่ละวันจึงควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศล ประกอบคุณงามความดี ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจธรรม ซึ่งจะเป็นที่พึ่งในภายหน้าสำหรับตนเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะทำ แต่เป็นกิจหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนๆ โดยเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นเอง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nida
วันที่ 7 ม.ค. 2553

ปากกินข้าวไปๆ เพราะเป็นสูตรของธรรมชาติ มันเป็นเอง ไม่ใช่เราเป็นเอง ท้องเดี๋ยวมันก็อิ่มไปเอง ไม่ใช่เราไปอิ่มเอง เป็นคนแค่สังเกตดูไป อย่างที่มันเป็นอย่างที่มันทำ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว รูปไม่รู้อะไรเลย (ปากกินอาหาร ท้องรับอาหาร เพราะทำหน้าที่ของธรรมชาติให้มาอยู่แล้ว) จึงไม่มีจิตสั่ง แต่เป็นกฏของธรรมชาติ ที่ทำกิจของเขาเองที่เป็นเอง ไม่ใช่เราเป็นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ