ความจริงแห่งชีวิต [171] ต้องเป็น สัมมาสมาธิ ที่เกิดร่วมกับ มรรคมีองค์ ๘

 
พุทธรักษา
วันที่  29 ก.ย. 2552
หมายเลข  13763
อ่าน  976

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​วิปป​ยุต​ต์​นั้น นอกจาก​จะ​พอใจ​ใน​รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ​พอใจบัญญัติ​ใน​ชีวิต​ประจำ​วัน​แล้ว​ ก็​ยัง​พอใจ​ใน​มิจฉา​สมาธิ​ได้ เช่น ผู้​ที่​พอใจ​ใน​การ​บริหารร่างกาย รู้​ว่าถ้า​ฝึก​แบบ​โยคะ​โดย​ให้​จิต​ตั้ง​มั่น​ จดจ้อง​ที่​ลม​หายใจ​ จะ​ทำให้​ร่างกาย​แข็ง​แรง ใน​ขณะ​นั้น​เป็นการ​ทำสมาธิ​ประเภท​หนึ่ง​ ซึ่ง​เมื่อ​ไม่ใช่​กุศล​จิต​ก็​จะ​ต้อง​เป็น​โลภ​มูลจิต​ ซึ่ง​เป็นมิจฉา​สมาธิ แต่​ผู้​นั้น​ไม่​ได้​เห็น​ผิด​ว่า​นี้​เป็น​หนทาง​ที่​จะ​ทำให้​รู้​แจ้ง​อริย​สัจ​จ​ธรรม ขณะ​นั้น​เป็น​แต่​เพียง​ความ​พอใจ​ที่​จะ​ทำสมาธิ และ​รู้​ว่า​ใน​ขณะ​นั้น​มี​ความ​ต้องการ​สมาธิ​เพื่อ​ประโยชน์​แก่​สุขภาพ​ร่างกาย ไม่ใช่​เห็น​ผิด​โดย​ยึดถือ​ว่า​ต้อง​ทำ​อย่าง​นี้​เสีย​ก่อน แล้ว​ภาย​หลัง​จึง​มาพิจารณา​นามธรรม​และ​รูป​ธรรม จะ​ได้​เร็ว​ขึ้น ซึ่ง​ถ้า​เข้าใจ​อย่าง​นั้น​ก็​ไม่​เข้าใจ​ลักษณะ​ของสัมมา​สติ ไม่รู้​ว่า​สัมมา​สติ​เป็น​อนัตตา เพราะ​ไม่ใช่​ว่า​ให้​ไป​ทำมิจฉา​สมาธิ​ก่อน แล้ว​จะ​ได้​มาเกื้อกูล​ให้​ปัญญา​สามารถ​ที่​จะ​รู้​ลักษณะ​ของ​นามธรรม​และ​รูป​ธรรม​ได้ แต่​การ​ที่​สติ​จะ​เป็นสัมมา​สติ​เป็น​มัค​ค์ ๑ ใน​มัค​ค์​มี​องค์ ๘ ได้​ก็​ต่อ​เมื่อ​มี​สัมมาทิฏฐิ ความ​เข้าใจ​ลักษณะ​ของ​สภาพธรรม​ที่​กำลัง​ปรากฏ​ ซึ่ง​เป็น​อารมณ์​ที่​สติ​จะ​ต้อง​ระลึก​โดย​ถูก​ต้อง​และ​ละเอียด​ขึ้น​ เป็น​สังขารขันธ์​ปรุง​แต่ง​ให้​สติ​เกิด​ ระลึก​ลักษณะ​ของ​สภาพ​ธรรม​ที่​กำลัง​ปรากฏ​ได้​ถูก​ต้อง เช่น ทาง​ตา​ที่กำลัง​เห็น​ ก็​จะ​รู้​ได้​ว่า​ขณะ​ใด​เป็น​บัญญัติ ​และ​ขณะ​ใด​เป็น​ปรมัตถ์ ทาง​หู ทาง​จมูก ทาง​ลิ้น ทาง​กาย ทาง​ใจ ก็​เช่น​เดียวกัน

ฉะนั้น ไม่​ว่า​จะ​ดู​โทรทัศน์​หรือ​ดู​กีฬา​อะไร​ก็ตาม​แต่ จะ​อ่าน​หนังสือ จะ​ดู​ภาพ​เขียน ก็​จะ​รู้​ได้​ว่าขณะ​ใด​เป็น​บัญญัติ​ และ​ขณะ​ใด​เป็น​ปรมัตถ์ เพราะ​มิ​ฉะนั้น​แล้ว​ อาจ​จะ​คิด​ว่า​เรื่อง​ใน​โทรทัศน์เป็น​บัญญัติ แต่​ขณะ​ที่​ไม่ใช่​เรื่อง​ใน​โทรทัศน์​นั้น​ไม่ใช่​บัญญัติ แต่​ความ​จริง​แล้ว​ทั้ง​เรื่อง​ในโทรทัศน์​และ​ไม่ใช่​ใน​โทรทัศน์​ก็​เป็น​บัญญัติ​ทั้ง​นั้น แม้แต่​ชื่อ​ของ​ทุก​ท่าน​ก็​เป็น​นาม​บัญญัติ เป็น​คำที่​ตั้ง​ขึ้น​เพื่อ​ให้​รู้​ว่าหมายความ​ถึง​จิต เจตสิก รูป​ใด​ที่​เกิด​รวม​กัน ที่​สมมติ​ขึ้น​เป็น​บุคคลนั้น​บุคคล​นี้

มิจฉา​สมาธิ​ที่​เป็น​โลภ​มูล​จิต​ทิฏฐิ​คต​วิปป​ยุต​ต์​ต่าง​กับ​โลภ​มูลจิต​ทิฏฐิ​คต​สัมปยุต​ต์​ ซึ่ง​เข้าใจ​ว่ามิจฉา​สมาธิ​นั้น​เป็น​ทาง​ที่​จะ​ทำให้​รู้​แจ้ง​อริย​สัจ​จ​ธรรม มิจฉา​สมาธิ​มี​ทั่วไป​ใน​ทุก​ประเทศ เพราะ​การ​ทำสมาธิ​ขณะ​ใด​ก็ตาม​ที่​ไม่ใช่​กุศล​ญาณ​สัมปยุต​ต์ คือไม่​ประกอบ​ด้วย​ปัญญา ขณะนั้น​ก็​ต้อง​เป็น​มิจฉา​สมาธิ ถ้า​ใคร​เข้าใจ​ว่า​มิจฉา​สมาธิ​เป็น​หนทาง​ที่​จะ​ทำให้​สติ​ระลึก​ลักษณะของ​นามธรรม​และรูป​ธรรม​ได้​เร็ว​ขึ้น​ก็​เข้าใจ​ผิด เพราะ​สัมมา​สติ​จะ​ระลึก​ลักษณะ​ของ​สภาพธรรม​ที่​กำลัง​ปรากฏ​ได้​ถูก​ต้อง​ ก็​เมื่อ​เข้าใจ​ลักษณะ​ที่​ต่าง​กัน​ของ​นามธรรม​และ​รูป​ธรรม​ที่​กำลัง​ปรากฏ​เสีย​ก่อน แต่​ไม่ใช่​โดย​อาศัย​การ​ทำมิจฉา​สมาธิ​เสีย​ก่อน

ถ. ใน​ลักขณา​ทิ​จตุ​กกะ​บอก​ว่า​สมาธิ​เป็น​เหตุ​ใกล้​ของ​วิปัสสนา
สุ. หมาย​ถึง​สมาธิ​อะไร
ถ. ก็​คงจะ​เป็น​สัมมา​สมาธิ จึง​จะ​เป็น​เหตุ​ใกล้
สุ. ต้อง​เป็น​สัมมา​สมาธิ​ที่​เกิด​ร่วม​กับ​สัมมา​สติ สัมมา​ทิฏฐิ สัมมา​สังกัปปะ และ​สัมมา​วายามะ

บัญญัติ​อารมณ์ เป็น​อารมณ์​ของ​จิต​ใน​ชีวิต​ประจำวัน ใน​ขณะ​ที่​จิต​ไม่​มี​ปรมั​ตถ​ธรรม​เป็นอารมณ์ เพราะ​ฉะนั้น ลอง​คิด​ดู​ว่าวัน​หนึ่งๆ จะ​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​มาก​ไหม ทาง​ตา​ที่​กำลังเห็น​ก็​มี​เรื่อง​ของ​สิ่ง​ที่​ปรากฏ​ทาง​ตา ทาง​หู​ที่​ได้ยิน​ก็​มี​เรื่อง​ของ​เสียง​ที่​ได้ยิน ทาง​จมูก​ที่​ได้​กลิ่นก็​มี​เรื่อง​ของ​กลิ่น ทาง​ลิ้น​ที่​ลิ้ม​รส​ก็​มี​เรื่อง​ของ​รส ทาง​กายที่​กระทบ​สัมผัส​ก็​มี​เรื่อง​ของ​โผฏฐัพพา​รมณ์ ใน​วัน​หนึ่งๆ จิต​ที่​เกิด​ขึ้น​ทาง​ใจ​นั้น​รู้​สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพ​พา​รมณ์ และ​คิด​นึก​เรื่องราว​ต่างๆ ของ​อารมณ์​เหล่า​นั้น จะ​มี​อารมณ์​อื่น​อีก​ไหม ​ใน​วัน​หนึ่งๆ นอก​จาก​ปรมั​ตถ​อารมณ์กับ​บัญญัติ​อารมณ์​ ใน​วัน​หนึ่งๆ ทั้ง​ชาติ​นี้ ชาติ​ก่อน ชาติ​หน้า ทุก​ภูมิ ทุก​โลก​จะ​มี​อารมณ์​อื่นนอก​จาก​ปรมั​ตถ​อารมณ์​กับ​บัญญัติ​อารมณ์​ได้​ไหม ไม่​ได้ เพราะ​ว่า​อารมณ์​มี ๖ เท่านั้น และใน​อารมณ์ ๖ นี้ นอก​จาก​ปรมั​ตถ​ธรรม​แล้ว​ก็​เป็น​บัญญัติ ฉะนั้น จึง​ไม่มี​อารมณ์​อื่น​อีก

พระ​ผู้​มี​พระ​ภาค​อร​หัน​ต​สัมมา​สัม​พุทธ​เจ้า​ทรง​มี​บัญญัติ​เป็น​อารมณ์​หรือ​เปล่า

ชีวิต​ประจำ​วัน​ของ​ทุก​สัตว์​บุคคล​นั้น เมื่อ​จักขุ​ทวาร​วิถี​จิต​ดับ​หมด​แล้ว ภวังคจิต​เกิด​คั่นแล้ว มโน​ทวาร​วิถี​จิต​ก็​มี​ปรมั​ตถ​อารมณ์​เดียว​กับ​ทาง​จักขุ​ทวาร​วิถี​จิต​ที่​เพิ่ง​ดับ​ไป​วาระ ๑ และ​เมื่อภวังคจิต​เกิด​คั่น​แล้ว มโน​ทวาร​วิถี​จิต​ที่​เกิด​ต่อ​ก็​นึกถึง​รูป​ร่าง​สัน​ฐาน​ของ​สิ่ง​ที่​ปรากฏ เพราะ​สิ่งที่​ปรากฏ​ทาง​ตา​เป็น​รูป​ประเภท​หนึ่ง​ซึ่ง​เกิด​กับ​ธาตุ​ดิน นํ้า ไฟ ลม เอา​สี​ออก​จาก​ธาตุ​ดิน นํ้า ไฟ ลม ได้​ไหม ไม่​ได้​เลย เพราะ​ที่​ใด​ก็ตาม​ที่​มี​มหาภูต​รูป ๔ ที่​นั้น​ต้อง​มี​รูป​สี (วัณณะ) กลิ่น รส โอชา รวม​อยู่​ด้วย แยก​กัน​ไม่​ได้​เลย เมื่อ​เอา​สี​ออก​ไป​จาก​มหาภูต​รูป​ไม่​ได้ สี​จึง​ปรากฏ​ให้​เห็น​ทาง​ตา และ​สัญญา​จำหมาย​เป็น​รูป​ร่าง​สัณฐาน​ให้​รู้​บัญญัติ​ว่า ​สิ่ง​ที่ปรากฏ​ให้​เห็น​นั้น​เป็นอะไร ถ้า​ไม่มี​สี​เลย เอา​สี​ออก​จาก​มหาภูต​รูป​หมด จะ​เห็น​เป็น​คน สัตว์ วัตถุ สิ่งของ​ต่างๆ ได้ไหม แม้​จิต​ก็​เกิด​ขึ้น​รู้​อารมณ์​ทาง​ตา​ไม่​ได้​เลย เพราะ​ไม่มี​สิ่ง​ที่​กระทบ​จักขุ​ปสาท


โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕

ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...

ปรมัตถธรรมสังเขป

ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...

ความจริงแห่งชีวิต

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ