ท่านผู้ฟังถามว่า...อย่างไร จึงเป็นการฟังด้วยความเคารพ?

 
พุทธรักษา
วันที่  4 ก.ย. 2552
หมายเลข  13458
อ่าน  953

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมที่ประเทศอินเดียณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถีตุลาคม ๒๕๔๒

ท่านผู้ฟัง ผมขอกลับไปเริ่มต้น ... สำหรับ "ประโยชน์" ในการฟังพระธรรม ซึ่งจะต้องฟังต่อไปตลอดชีวิต ไม่จบ.!แต่ "เรื่องราว" ต่างๆ ก็มีมาให้พิจารณาไม่ว่าจะพูดถึง "เรื่องวิปัสสนา" ก็ดี "เรื่องญาณ" ก็ดี "เรื่องสติปัฏฐาน" ก็ดีล้วนแล้วแต่เป็น "หนทาง" หรือ "ข้อปฏิบัติ" ที่จะนำพาให้ผู้ฟัง ไปสู่ "สภาพธรรมที่เป็นความจริง" จากการศึกษา.แต่ ว่า การฟังพระธรรม ก็ดี การศึกษาพระธรรม ก็ดีศึกษาอย่างไร ... ฟังอย่างไร จึงจะกล่าวว่า เป็น "การฟังด้วยความเคารพ"

ท่านอาจารย์ เริ่มตั้งแต่ ... ขณะที่ฟัง เหมือนเฝ้าพระผู้มีพระภาคฯ ... หรือ พระองค์ประทับอยู่ต่อหน้า เพราะว่า พระธรรมเทศนา ทั้งหมด มาจากพระองค์ซึ่งใช้ คำ ว่า "ธรรมกาย" คือ เป็นที่รวมของพระธรรมเทศนา เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟัง ... ฟังด้วยความเคารพ คือ ตั้งใจฟัง ขณะใด ... ที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง หรือ สนใจเรื่องอื่นผู้นั้น อาจไม่ทราบ ว่า ขณะนั้น ... ไม่ได้เคารพในพระธรรม แต่ ผู้ที่เคารพในพระธรรม ทราบได้ทันที ว่า ใครไม่เคารพในพระธรรมซึ่งก็หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง

พระธรรมนั้น ยากแสนยาก ... ที่จะมีโอกาสได้ฟัง และฟังแล้ว ... ต้องพิจารณาจริงๆ จนกว่าจะเป็น "ความเข้าใจที่ถูกต้อง" เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ฟัง ก็ควรฟัง ด้วยความเคารพ คือ เคารพในพระปัญญาธิคุณ เคารพในพระบริสุทธิคุณ เคารพในพระมหากรุณาคุณ เมื่อฟังด้วยความเคารพแล้ว ก็ควรไตร่ตรอง พิจารณาในเหตุ ในผล ว่า ตรงกับสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ หรือไม่ ถ้าพูด "เรื่องปรมัตถธรรม" ก็หมายความถึง "สภาพธรรมที่มีจริง ... แม้ไม่เรียกชื่อ" เช่น กำลังเห็น ... ขณะนี้ มีมาตั้งแต่เกิด มีการเห็นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง ขณะนี้ แล้วมี "ความเข้าใจรื่องการเห็น" แค่ไหน รู้ สภาพที่เป็น "นามธรรม" แค่ไหน

ถ้าหาก พระผู้มีพระภาคฯ ไม่ทรงตรัสรู้ และไม่ทรงแสดงธรรม ก็ไม่มีใคร สามารถที่จะรู้ "ความจริงของสภาพเห็น" ในขณะนี้ ได้ แม้จะได้ยิน ได้ฟัง ว่า "เห็น" มีจริง ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับ ธาตุที่ได้ยินเสียงและต่างกับธาตุอื่นๆ ซึ่งเป็น "นามธาตุ" ด้วยกันใช้คำว่า "นามธาตุทุกชนิด" เพราะว่า ทุกอย่าง เป็น "ธาตุ" เมื่อทุกอย่าง เป็น "ธาตุ" จะใช้ คำว่า จักขุธาตุ ก็ได้ รูปธาตุ ก็ได้จักขุวิญญาณธาตุ ก็ได้ หรือ โลภะธาตุ โทสธาตุ โมหธาตุ ฯลฯ ธรรมทุกอย่าง เป็น "ธาตุ"

เคย "เข้าใจถูกต้อง" อย่างนี้หรือเปล่า ปัจจัยที่ทำให้ "ปัญญา" เริ่มเกิดขึ้นก็ เมื่อได้ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ เคารพ ด้วยการตั้งใจฟัง และ ไตร่ตรอง พิจารณา ว่า ขณะนี้ เป็น ธรรม.!จนกว่าจะถึง "ความเป็นอนัตตา" คือ "ไม่ใช่เรา" ซึ่ง ยากมาก กว่าจะสละ "ความเป็นเรา" ออกจากขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ และคิดนึก ยากมาก ... ที่จะสละ "ความเป็นเรา" ออกจาก จิต ทุกๆ ขณะ

ดังนั้น จึงต้องเป็น ผู้ที่อดทน มีวิริยะและ ไม่ละเลย ต่อการที่จะรู้ ว่า ตนเองนั้น รู้ ธรรมะ แค่ไหน เป็นผู้ "ตรงต่อสภาพธรรม" แค่ไหน เพราะว่า "การที่จะเข้าใจธรรมะ" หรือใช้คำว่า "รู้ธรรม" ได้ นั้น ก็คือ "เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ" ซึ่ง เราก็เรียนกันมาแล้ว ถ้าขณะที่ สติ ไม่เกิด ไม่ระลึกขณะนั้น ก็ไม่ใช่ การศึกษา "ลักษณะของสภาพธรรม" แต่ เป็นเพียง การศึกษา "เรื่องราวของสภาพธรรม" เท่านั้น

จนกว่า ขณะที่สติปัฏฐาน เกิด ที่ใช้คำว่า "สติปัฏฐาน" ก็คือ ขณะที่ระลึกระลึกได้ เพราะว่า วันหนึ่งๆ มักจะหลงลืมสติ วันหนึ่งๆ คือ อย่างไร ขณะที่กำลังเห็น ไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึง ว่า ดับไปแล้ว อย่างรวดเร็วในเมื่อ ยังไม่ประจักษ์ แล้วจะไปพูดอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้นก็เป็นเพียงแค่ "คิด" เท่านั้น

แต่ ขณะใด ที่กำลังเห็น ก็ค่อยๆ ระลึกได้ ว่าขณะที่กำลังเห็น เป็น สภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริง เป็น สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ส่วนการเห็น เป็นสภาพธรรมที่รู้ หรือ ธาตุรู้ ก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นการเข้าใจจริงๆ ว่า ทั้งหมดเป็นสภาพธรรม โดย สติ เกิด สติ เกิด ขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ "ตามปกติ" จริงๆ มิฉะนั้น จะไม่เข้าใจเลย ว่า ทำไม ผู้ที่ปรุงอาหารอยู่ในครัวจึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็น พระอนาคามีบุคคล ได้ ในครัว มีทุกอย่าง ซึ่ง ในครัวของเราก็มี เช่น หม้อ กระทะ ฯลฯ แต่ ผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้วก็สามารถที่จะเป็นพระอนาคามีบุคคล ที่ไหนก็ได้หรือ เป็นพระโสดาบันที่ไหน ก็ได้ เพราะว่า สภาพธรรมที่มีจริง มีไม่เคยขาดเลย แต่ ต้องมี ความเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใด หลงลืมสติ



ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วิริยะ
วันที่ 5 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 5 ก.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
saifon.p
วันที่ 5 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
daeng
วันที่ 5 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Komsan
วันที่ 6 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
อภิรดี
วันที่ 3 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
hadezz
วันที่ 5 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ