กีสาโคตมีเถรีคาถา .. คาถาของพระกีสาโคตมีเถรี

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ก.ค. 2552
หมายเลข  12846
อ่าน  5,611

Oo๐ ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ๐oO

... สนทนาธรรมที่ ...

<> มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา <>

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๑๑ ก.ค. ๒๕๕๒ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ

กีสาโคตมีเถรีคาถา

(ว่าด้วยคาถาของพระกีสาโคตมีเถรี)



จาก... พระสัตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา (เล่มที่ ๕๔)

... นำสนทนาโดย ...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

พระสัตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา (เล่มที่ ๕๔)
เอกาทสกนิบาต

๑. กีสาโคตมีเถรีคาถา

(ว่าด้วยคาถาของพระกีสาโคตมีเถรี)

[๔๖๔] พระกีสาโคตมีเถรี กล่าวว่า

เฉพาะโลก พระมุนี ทรงสรรเสริญความเป็น

ผู้มี กัลยาณมิตร คนเมื่อคบกัลยาณมิตร แม้เป็นพาล ก็

พึงเป็นบัณฑิตได้บ้าง. ควรคบแต่สัตบุรุษคนดี คนคบสัตบุรุษ ปัญญาย่อมเจริญได้เหมือนกัน คนคบสัตบุรุษจะพึงพ้นจากทุกข์ได้ทุกอย่าง.

บุคคลพึงรู้จักอริยสัจจ์แม้ทั้ง ๔ คือ ทุกข์ ทุกข-สมุทัย ทุกขนิโรธ และมรรคมีองค์ ๘.

ยักษิณีตนหนึ่ง กล่าวตำหนิความเป็นหญิงไว้ว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงฝึกคนที่ควรฝึก ตรัส

ว่าความเป็นหญิง เป็นทุกข์ แม้การเป็นหญิงร่วมสามีก็เป็นทุกข์ หญิงบางพวกย่อมคลอดครั้งเดียว บางพวกก็เชือดคอตนเอง บางพวกที่เป็นสุขุมาลชาติละเอียดอ่อน ทนทุกข์ไม่ได้ก็กินยาพิษ สัตว์ในครรภ์และหญิงผู้มีครรภ์ ย่อมประสบความพินาศย่อยยับทั้งสองคน

พระปฏาจาราเถรี กล่าวว่า

ข้าพเจ้า มีครรภ์แก่ใกล้คลอด เดินทางไปยังไม่

ทันถึงเรือนตน ก็คลอดบุตรที่ระหว่างทาง พบสามีตายบุตรทั้งสองก็ตาย สามีก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว ข้าพเจ้ากลายเป็นคนยากไร้ มารดาบิดาและพี่ชาย ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน

พระกีสาโคตมีเถรี กล่าวว่า

เจ้า เมื่อตระกูลเสื่อมแล้ว ตกเป็นคนยาก

ไร้ ต้องเสวยทุกข์หาประมาณมิได้ น้ำตาของเจ้าไหลตลอดมาหลายพันชาติ.

ข้าพเจ้า เห็นเจ้าอยู่ท่ามกลางป่าช้า แม้เนื้อบุตรก็ต้องเคี้ยวกิน ข้าพเจ้ามีตระกูลเสื่อมแล้ว สามีก็ตายแล้ว ถูกคนทั้งปวงติเตียนแล้ว ก็ได้บรรลุอมต-ธรรม.
อริยมรรคมีองค์ ๘ อันให้ถึงอมตธรรมข้าพเจ้าก็อบรมแล้ว แม้พระนิพพานก็กระทำให้แจ้งแล้วข้าพเจ้าได้พบกระจกธรรมแล้ว.

ข้าพเจ้า ตัดความโศกศัลย์ได้แล้ว ปลงภาระแล้ว กระทำกรณียะเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าชื่อกิสาโคตมีเถรี ผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว กล่าวคำนี้ไว้.

จบ กีสาโคตมีเถรีคาถา

อรรถกถากีสาโคตมีเถรีคาถา

(นำมาเพียงบางส่วน)

ใน เอกาทสนิบาต คาถาว่า กลฺยาณมิตฺตตา เป็นต้น เป็นคาถาของ พระกีสาโคตมีเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. -

ได้ยินว่า พระเถรีรูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ก็บังเกิดในเรือนสกุลกรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรเศร้า-หมอง ก็สร้างสมกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. นางท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัปป์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในสกุลเข็ญใจ ในกรุงสาวัตถี ชื่อของนางมีว่า โคตมี

แต่เพราะตัวผอม เขาจึงเรียกว่า กีสาโคตมี. นางไปมีสามีบิดามารดาและญาติดูหมิ่นว่า เป็นลูกสาวของสกุลเข็ญใจ นางคลอดลูกชายออกมาคนหนึ่ง เพราะได้ลูกชาย บิดามารดาและญาติ ก็ทำสัมมานะยกย่องนาง แต่ลูกชายของนางก็ตายเสียขณะที่วิ่งเล่นได้ ด้วยเหตุนั้น นางจึงเกิดบ้าเพราะความเศร้าโศก. นางคิดว่า เมื่อก่อนเราถูกดูหมิ่น นับตั้งแต่ลูกชายเราเกิดก็ได้รับยกย่อง คนเหล่านี้พยายามจะทิ้งลูกชายเราไว้ข้างนอก จึงอุ้มร่างลูกชายที่ตายแล้วไป โดยความบ้า เพราะความเศร้าโศก ตระเวนไปในนคร ตามลำดับประตูเรือน โดยกล่าวขอร้องว่า ขอท่านโปรดให้ยาแก่ลูกชายของฉันด้วยเถิด

ผู้คนทั้งหลายบริภาษด่าว่า จะเอายาแก้ตายมาแต่ไหน นางก็ไม่เชื่อคำของคนเหล่านั้น, ครั้งนั้น ชายบัณฑิตผู้หนึ่ง คิดว่า หญิงคนนี้จิตฟุ้งซ่านเป็นบ้า เพราะโศกเศร้าถึงลูกชาย

พระทศพลเท่านั้นคงจักทรงรู้จักยาสำหรับหญิงคนนี้ จึงกล่าวว่า แม่คุณ ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามถึงยาสำหรับลูกชายของเธอดูสิ, นางไปพระวิหาร ในเวลาเป็นที่แสดงธรรมของพระศาสดา

กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดทรงประทานยาสำหรับ ลูกชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด. พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของนาง จึงตรัสว่า ไปสิ เธอเข้าไปยังพระนคร เรือนหลังใดไม่เคยมีคนตาย จงนำเมล็ดผักกาดจากเรือนหลังนั้นมา. นางรับพระพุทธดำรัสว่า ดีละ พระเจ้าข้า ดีใจก็เข้าพระนครไปในเรือนหลังแรก พูดว่า พระศาสดาโปรดให้ฉันนำเมล็ดผักกาดไปเพื่อทำยาสำหรับลูกชายของฉัน ถ้าในเรือนหลังนี้ ไม่เคยมีใครๆ ตาย โปรดให้เมล็ดผักกาดแก่ฉันด้วยเถิด.

คนในเรือนหลังนั้น กล่าวว่า ใครเล่าจะสามารถนับคนที่ตายไปแล้ว ในเรือนหลังนี้ได้.

นางไปเรือนหลังที่สอง ที่สาม ด้วยพุทธานุภาพ ก็หายบ้าอยู่ในปกติจิต จึงคิดว่า จะประโยชน์อะไร ด้วยเมล็ดผักกาดนั้น พอกันที สำหรับเมล็ดผักกาดในที่นี้. นางคิดว่า ธรรมเนียมนี้นี่แหละ คงจักมีทั่วพระนคร ความจริงนี้ คงจักเป็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงอนุเคราะห์ด้วยหวังดี ทรงเห็นแล้ว ก็ได้ความสลดใจจากที่นั้น ก็ออกไปข้างนอก ทิ้งลูกชายที่ป่าช้าผีดิบ กล่าวคาถานี้ว่า

ธรรม คือ อนิจจตา ความไม่เที่ยง มิใช่เป็นธรรมของชาวบ้าน มิใช่ของชาวนิคมและมิใช่ของตระ-กูลหนึ่ง หากแต่เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมดรวมทั้งเทวโลกด้วย.

ก็แลนางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาตรัสถามนางว่า โคตมี เธอได้เมล็ดผักกาดมาแล้วหรือ.

นางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจด้วยเมล็ดผักกาดเสร็จแล้ว พระเจ้าข้า ขอพระองค์ ทรงโปรดเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วยเถิด. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสพระคาถาแก่นางว่า

มฤตยู ย่อมพานรชน ผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยง มีใจฟุ้งซ่านไป เหมือนกระแสน้ำหลากขนาดใหญ่ พัดพาชาวบ้านที่มัวหลับใหลไปฉะนั้น.

จบพระคาถา นางก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ตามอาการที่ยืนอยู่ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา.

พระศาสดาทรงอนุญาตให้บรรพชาในสำนักของภิกษุณี นางถวายบังคมพระศาสดา ทำประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบ แล้วไปสำนักภิกษุณี บรรพชาอุปสมบทแล้ว ไม่นานนัก ทำโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนา ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสพระคาถาประกอบด้วยโอภาสแก่นางดังนี้ว่า

ผู้เห็นอมตบท มีชีวิตอยู่วันเดียว ยัง

ประเสริฐกว่าผู้ไม่เห็นอมตบท มีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี.

จบพระคาถา นางก็บรรลุพระอรหัต ในการใช้สอยบริขารก็อุกฤษฏ์อย่างยิ่ง ครองแต่จีวรที่ประกอบด้วยความเศร้าหมอง ๓ อย่าง. ครั้งนั้น พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร กำลังทรงสถาปนาพระภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะตามลำดับ ก็ทรงสถาปนาพระเถรีไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง. พระเถรีนั้นพิจารณาการปฏิบัติของตน คิดว่า เราอาศัยพระศาสดาจึงให้คุณวิเศษนี้ ได้กล่าวคาถาเหล่านั้นโดยมุข คือ การสรร-เสริญกัลยาณมิตรว่า

เฉพาะโลก พระมุนี ทรงสรรเสริญความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร คนเมื่อคบกัลยาณมิตร แม้เป็นพาลก็พึงเป็นบัณฑิตได้บ้าง.

ควรคบแต่สัตบุรุษคนดี คนคบสัตบุรุษปัญญาย่อมเจริญได้เหมือนกัน คนคบสัตบุรุษจะพึงพ้นจากทุกข์ได้ทุกอย่าง.

บุคคลพึงรู้จักอริยสัจจ์ แม้ทั้ง ๔ คือ ทุกข์ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และมรรคมีองค์ ๘.

ยักษิณีตนหนึ่งกล่าวตำหนิความเป็นหญิงไว้ว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงฝึกคนที่ควรฝึกตรัสว่า ความเป็นหญิง เป็นทุกข์ แม้การเป็นหญิงร่วมสามี ก็เป็นทุกข์ หญิงบางพวกย่อมคลอดครั้งเดียว บางพวกก็เชือดคอตนเอง บางพวกที่เป็นสุขุมาลชาติละเอียดอ่อน ทนทุกข์ไม่ได้ก็กินยาพิษสัตว์ในครรภ์และหญิงผู้มีครรภ์ ย่อมประสบความพินาศย่อยยับทั้งสองคน

พระปฏาจาราเถรี กล่าวว่า

ข้าพเจ้า มีครรภ์แก่ใกล้คลอด เดินทางไปยังไม่ทันถึงเรือนตน ก็คลอดบุตรที่ระหว่างทางพบสามีตาย บุตรทั้งสองก็ตาย สามีก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว ข้าพเจ้ากลายเป็นคนยากไร้ มารดาบิดาและพี่ชาย ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน

พระกีสาโคตมีเถรี กล่าวว่า

เจ้า เมื่อตระกูลเสื่อมแล้ว ตกเป็น

คนยากไร้ ต้องเสวยทุกข์หาประมาณมิได้ น้ำตาของเจ้าไหลตลอดมาหลายพันชาติ.

ข้าพเจ้า เห็นเจ้าอยู่ท่ามกลางป่าช้าแม้เนื้อบุตรก็ต้องกิน ข้าพเจ้ามีตระกูลเสื่อมแล้วสามีตายแล้ว ถูกคนทั้งปวงติเตียนแล้ว ก็ได้บรรลุอมตธรรม. อริยมรรคมีองค์ ๘ อันให้ถึงอมต-ธรรม ข้าพเจ้าก็อบรมแล้ว แม้พระนิพพานก็กระทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้าได้พบกระจกธรรมแล้ว

.......ฯลฯ.....

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 8 ก.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 8 ก.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กีสาโคตมีเถรีคาถา

(ว่าด้วยคาถาของพระกีสาโคตมีเถรี) ข้อความโดยสรุป

พระกีสาโคตมีเถรี ท่านได้สะสมกุศลมาตั้งแต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ , ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสมณโคดมนี้ ท่านเกิดในตระกูลเข็ญใจ เมื่อถึงคราวที่มีครอบครัว ก็แต่งงาน มีลูกชายหนึ่งคน ในกาลต่อมาลูกชายของนางได้สิ้นชีวิตลงเมื่ออยู่ในวัยที่วิ่งเล่นได้ นางเกิดความเศร้าโศกเสียใจมาก ได้อุ้มศพลูกไปตามลำดับบ้านเพื่อขอยามารักษา จนกระทั่งบุรุษบัณฑิตคนหนึ่งพบเข้า จึงแนะนำให้ไปขอยากับพระพุทธเจ้า นางจึงรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยเร็ว, พระพุทธเจ้าตรัสให้ไปนำเมล็ดผักกาดเฉพาะในเรือนที่ไม่มีคนตาย มา นางจึงได้เดินทางเข้าไปในพระนคร ถามตามลำดับเรือนตั้งแต่เรือนหลังแรกเป็นต้นไป ได้พบว่าไม่มีเรือนหลังใดที่ไม่เคยมีคนตายเลย นางจึงเข้าใจว่า ธรรมคือความไม่เที่ยงนี้ เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมด รวมถึงเทวโลกด้วย เมื่อกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระคาถาว่า “มฤตยู ย่อมพานรชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์เลี้ยงมีใจฟุ้งซ่านไป เหมือนกระแสน้ำหลากขนาดใหญ่ พัดพาชาวบ้านที่มัวหลับใหลไป ฉะนั้น” ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จึงขอบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ (ท่านเป็นผู้เลิศในทางทรงจีวรเศร้าหมอง) ท่านพิจารณาว่าที่ตนได้บรรลุคุณวิเศษนี้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้า จึงได้กล่าวสรรเสริญความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ว่า ผู้คบสัตบุรุษ ปัญญาย่อมเจริญ และสามารถที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นต้น. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 9 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
captpok
วันที่ 9 ก.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 9 ก.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
h_peijen
วันที่ 10 ก.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 11 ก.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
petcharath
วันที่ 11 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wanchai2504
วันที่ 11 ก.ค. 2552
"...จึงได้กล่าวสรรเสริญความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ว่า ผู้คบสัตบุรุษ ปัญญาย่อมเจริญ

และ สามารถที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นต้น..."

ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นิ้ง
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ -/-

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pulit
วันที่ 6 ก.ย. 2557

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Nataya
วันที่ 5 เม.ย. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ