ไม่รู้เวลาตาย

 
opanayigo
วันที่  27 มี.ค. 2552
หมายเลข  11785
อ่าน  1,136

เมื่อนึกถึงความตาย ทำให้คิดนำคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาเขียนเตือนใจไว้ดังนี้

การตายพรากทุกสิ่งจากชาตินี้อีกต่อไป แม้แต่ความทรงจำ ชาตินี้เกิดมาแล้ว จำได้ไหมว่า ชาติก่อนเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร หมดความเป็นบุคคลในชาติก่อนโดยสิ้นเชิง ฉันใด แม้ชาตินี้จะได้สร้างบุญ ทำกรรมใดมาแล้ว จะมีมานะในชาติตระกูล ยศศักดิ์ใดๆ ก็ตาม ก็จะต้องหมดสิ้น ไม่มีเยื่อใยในชาตินี้ภพนี้เหลืออยู่อีกเลย ฉันนั้น

การตายพรากทุกสิ้งโดยสิ้นเชิง ทั้งความคิด ความจำ ความยึดถือใดๆ ทั้งสิ้นที่เคยเกาะเกี่ยวผูกไว้ตั้งแต่เกิดจนเดี๋ยวนี้นั้น ก็จะผูกพันยึดถือว่าเป็นตัวเราอีกต่อไปได้

การพบกันครั้งสุดท้ายก่อนตายจากไปนั้น ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะแสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้วจะไม่ได้เห็นกันอีก เมื่อเห็นตอนเช้าก็อาจจะไม่ได้เห็น

ตอนเย็น เห็นตอนเย็นก็อาจจะไม่ได้เห็นตอนเช้า ทุกคนเห็นความจริงว่าไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงหรือต่อรองความตายได้ จะขอเวลาต่อแม้เล็กน้อยก็ไม่ได้

ฉะนั้น การกล่าวถึงชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นจากการพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นแต่ละบุคคล ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย

เมื่อพูดกันเรื่องผู้ตาย ก็ควรจะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้นว่า แยบคายหรือยัง แทนที่จะโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ ก็ควรจะเป็นความเบิกบานในพระธรรม ที่ได้เข้าใจความจริงอันเป็นสัจธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสและทรงแสดงถึงธรรมดาของการเกิด ซึ่งก็ต้องมีการตายเมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ตายไม่มี และการตายก็ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริงเป็นสัจจธรรม

ชีวิตเราเป็นกระแสจิตที่เกิดดับสืบต่อกันทีละขณะจิตเรื่อยไป ตั้งแต่เกิดจนตาย จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง

กิเลสทุกชนิดเกิดขึ้นเพราะได้สะสมแล้วในอดีต เมื่อปัญญายังไม่เจริญถึงขั้นดับกิเลส กิเลสก็เกิดขึ้นอีกๆ ต่อไปในอนาคต

ศีกษาธรรมเพื่อละกิเลส

ผู้ทำอกุศลก็ต้องรับผลของอกุศลอยู่แล้ว

ไม่ก้าวก่ายในอกุศลของผู้อื่น

กิเลสของตัวเองทำให้คิดหมุนวนอยู่

อย่าชอบไปเดาความคิดของผู้อื่น

กิเลสของเราทำให้เราไม่มีความสุข

จงคิดเป็นกุศล

การฟังพระธรรมเสมอๆ ความเข้าใจพระธรรมย่อมสะสมไปในภพหน้า

.............คุณหญิงณพรัตน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา.............

จาก หนังสือ " เมตตา " โดย อ.สุจิตน์ บริหารวนเขตต์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 27 มี.ค. 2552

การฟังพระธรรมเสมอๆ ความเข้าใจพระธรรมย่อมสะสมไปในภพหน้า

กราบอนุโมทนาท่าน อ.สุจิตน์ บริหารวนเขตต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 28 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 28 มี.ค. 2552

บุรุษย่อมสำคัญสิ่งใดว่า สิ่งนี้เป็น

ของเรา จำต้องละสิ่งนั้นไป แม้เพราะความ

ตาย บัณฑิตผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นของ

เรา ทราบข้อนี้แล้ว ไม่พึงน้อมไปในความ

เป็นผู้ถือว่าสิ่งนั้นๆ เป็นของเรา.

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 28 มี.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
fivep
วันที่ 29 มี.ค. 2552

"ฉะนั้น การกล่าวถึงชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นจากการพิจารณาสภาพธรรมที่เกิด

ขึ้นเป็นแต่ละบุคคล ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย"

กราบอนุโมทนาค่ะ _/||\_

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
happyindy
วันที่ 29 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 29 มี.ค. 2552

ศีกษาธรรมเพื่อละกิเลส

ผู้ทำอกุศลก็ต้องรับผลของอกุศลอยู่แล้ว

ไม่ก้าวก่ายในอกุศลของผู้อื่น

กิเลสของตัวเองทำให้คิดหมุนวนอยู่

อย่าชอบไปเดาความคิดของผู้อื่น

กิเลสของเราทำให้เราไม่มีความสุข

จงคิดเป็นกุศล

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 29 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
hadezz
วันที่ 29 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
saifon.p
วันที่ 1 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
petcharath
วันที่ 1 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ